อาการเสียวฟันคืออะไร
อาการเสียฟันพบได้ทั่วไป โดยสามารถมีอาการเสียวฟันตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนเสียวฟันอย่างรุนแรงซึ่งอาจเกิดขึ้นนานหลายชั่วโมง และที่สำคัญนี่อาจเป็นสัญญาณปัญหาทางทันตกรรมที่รุนแรง หลายคนมีอาการเสียวฟัน โดยสามารถเกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี โดยผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีอาการเสียวฟันมากกว่าผู้ชายการเสียวฟันเกิดจากอะไร
ส่วนประกอบฟันของเรามีชั้นเคลือบฟันที่ปกป้องเนื้อฟันที่นิ่มกว่าอยู่ด้านใน หากเนื้อฟันถูกเปิดเผย ฟันที่มีอาการเสียวมักเกิดจากเคลือบฟันที่บางลงอย่างมากโดยสามารถเกิดจากสิ่งเหล่านี้- การแปรงฟันแรงเกินไป ทำให้เกิดการเสียดสีของแปรงสีฟันและอาจทำให้เคลือบฟันสึกออกไปได้ โดยเฉพาะบริเวณที่ฟันสัมผัสกับเหงือก เนื้อฟันบริเวณนั้นจะบอบบางกว่าปกติ
- การกัดเซาะของฟัน ที่ทำให้เกิดสูญเสียเคลือบฟันจากการทำลายของกรดจากอาหาร และเครื่องดื่มที่เป็นกรด หากเคลือบฟันหลุดออกไป ทำให้เนื้อฟันถูกเปิดออกซึ่งอาจนำไปสู่อาการเสียวฟัน จากนั้นจะเกิดอาการเหงือกร่น และรากของฟันจะเผยออกมา และฟันจะเสียวได้ง่าย เพราะไม่มีชั้นเคลือบฟันปกป้องแล้ว
- เหงือกร่นตามธรรมชาติ และรากของฟันจะเผยออกมา ทำให้มีโอกาสที่จะเสียวฟันมากขึ้น
- โรคเกี่ยวกับเหงือก สามารถเกิดได้จากการสะสมของคราบพลัค หรือหินปูนที่ส่งผลให้เหงือกร่นลงไป ทำให้บริเวณนั้นทำความสะอาดได้ยากขึ้น และมีโอกาสเสียวฟันได้มากขึ้น
- การนอนกัดฟัน เป็นนิสัยส่วนบุคคลที่มักจะทำโดยไม่รู้ตัวในขณะการนอนหลับ ซึ่งอาจทำให้เคลือบฟันสึกกร่อน จนทำให้ฟันมีอาการเสียวได้
- ฟันแตก หรืออุดฟัน มีโอกาสที่ฟันนั้นบอบบาง และเนื้อฟันถูกเผยออกมา ทำให้เสียฟันได้ง่าย
- การฟอกสีฟัน สามารถทำให้ผู้ที่เข้ารับการฟอกสีฟันมีอาการเสียวฟันได้ระหว่างที่ทำการฟอกสีฟัน และภายหลังอีก หากมีอาการดังกล่าว ควรปรึกษาทันตแพทย์
เสียวฟันเกิดขึ้นเมื่อไร
เรามีโอกาสที่จะเสียวฟันมากขึ้นเมื่อดื่ม หรือรับประทานอะไรเย็นๆ จากความเย็นที่เข้ามาสัมผัสกับฟัน และบางครั้งก็เสียวฟันจากการรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มร้อน บางคนเสียฟันเมื่อรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่มีรสหวานหรือเป็นกรด ความเจ็บปวดสามารถเกิดขึ้น และหายไปได้ แต่บางคนประสบกับปัญหาการเสียวฟันมากกว่าคนอื่นๆควรทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเสียวฟัน
เราอาจจะพบว่า เครื่องดื่มร้อน เย็น หวาน หรือเป็นกรด หรือไอศกรีม อาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ หากมีอาการเสียวฟันขณะแปรงฟันด้วยน้ำเย็นจากก๊อก อาจจะต้องใช้น้ำอุ่นแทน สิ่งสำคัญคือ ต้องแปรงฟันอย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่แปรงจะทำให้สุขภาพในช่องปากแย่ลงได้ อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจ การเลือกแปรงสีฟันที่ดีวิธีแก้เสียวฟันจากคำแนะนำทันตแพทย์
ในระหว่างการตรวจช่องปากทันตแพทย์จะพูดคุยกับคุณเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพช่องปาก ทันตแพทย์จะตรวจดูฟันของ เพื่อหาว่าอะไรทำให้เกิดอาการเสียวฟัน และหาวิธีที่ดีที่สุดในการรักษา ทันตแพทย์จะแนะนำการแก้ไขอาการเสียวฟันด้วยผลิตภัณฑ์พิเศษที่ช่วยบรรเทาอาการแพ้ หรืออาจจะทำการเคลือบเจลฟลูออไรด์ น้ำยาเคลือบฟันที่บอบบาง อาจจะต้องทำการเคลือบห่างกัน 1-2 สัปดาห์ในการเคลือบแต่ละครั้ง แพทย์จะทำการนัดหมายจนกว่าอาการของเราจะดีขึ้น หากวิธีนี้ยังคงไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นทันตแพทย์จะทำการอุดรอบคอของฟันตรงบริเวณที่ฟัน และเหงือกมาบรรจบกัน เพื่อปกป้องเนื้อฟัน และในกรณีที่รุนแรงมากแพทย์จะต้องทำการรักษารากฟันให้มีวิธีการแก้เสียวฟันอะไรบ้างที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง
มียาสีฟันแก้เสียวฟันหลายยี่ห้อในท้องตลาดที่ทำขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดฟัน และเสียวฟัน จากเคลือบฟันที่บางลง ที่สำคัญคือ ควรใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์วันละ 2 ครั้ง เพื่อแปรงฟัน ยาสีฟันเหล่านี้อาจจะเห็นผลตั้งแต่ 2-3 วันหรือหลายสัปดาห์แล้วแต่บุคคล ทันตแพทย์สามารถแนะนำยาสีฟันที่เหมาะกับคุณได้เราจะป้องกันอาการเสียวฟันได้อย่างไร
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และก่อนนอนต้องมั่นใจว่า แปรงฟันหลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อย 1350 ppm ควรเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับแก้การเสียวฟัน เคลื่อนไหวแปรงสีฟันเป็นวงกลมขนาดเล็กด้วยแปรงขนอ่อนถึงขนปานกลาง และหลีกเลี่ยงการถูแปรงซ้าย-ขวาไปมา
- เปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 2-3 เดือน หรือเร็วกว่านี้หากแปรงสีฟันสึก
- อย่าแปรงฟันทันทีหลังรับประทานอาหาร เพราะอาหาร และเครื่องดื่มบางชนิดอาจทำให้เคลือบฟันของคุณอ่อนลงได้ ดังนั้นควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ก่อนแปรงฟัน
- รับประทานอาหารที่มีน้ำตาล และเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว และเป็นกรดในปริมาณที่น้อยลง รวมทั้งอาหารอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟัน
- หากมีแผนที่จะฟอกสีฟัน ให้ปรึกษาเรื่องอาการเสียวฟันกับทันตแพทย์ก่อนที่จะทำการรักษา
สมุนไพรแก้อาการเสียวฟัน
สำหรับอาการเสียวฟันอาจสมุนไพรบางชนิดที่นำมาใช้เยียวยาแบบธรรมชาติ ดยรวมและช่วยป้องกันอาการเสียวฟันได้ แต่โปรดทราบว่าวิธีการรักษาเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนการดูแลทันตกรรมของมืออาชีพได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม สมุนไพรบางชนิดที่อาจสนับสนุนสุขภาพช่องปากมีดังนี้:- ว่านหางจระเข้:
-
-
- ว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจช่วยลดการอักเสบในเหงือกและบรรเทาเนื้อเยื่อที่ระคายเคืองได้ ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์น้ำยาบ้วนปากบางชนิดมีส่วนผสมของว่านหางจระเข้
-
- เปปเปอร์มินต์:
-
-
- เปปเปอร์มินต์มีคุณสมบัติต้านจุลชีพและมีรสชาติที่สดชื่น พบได้ทั่วไปในยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก และอาจส่งผลต่อสุขอนามัยช่องปากโดยรวม
-
- ชาเขียว:
-
-
- ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพช่องปาก การศึกษาบางชิ้นแนะนำว่าชาเขียวอาจช่วยลดแบคทีเรียในปากและส่งเสริมสุขภาพเหงือกที่ดี
-
- กานพลู:
-
-
- ประเพณีมีการใช้กานพลูเพื่อระงับปวดและต้านจุลชีพ อาจใช้น้ำมันกานพลูหรือกานพลูบดทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการปวดฟันหรืออาการเสียวฟันชั่วคราว อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องใช้เท่าที่จำเป็นเนื่องจากสามารถแข็งแรงได้
-
- ดอกคาโมไมล์:
-
- ดอกคาโมไมล์มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบและส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ชาคาโมมายล์สามารถใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยนได้
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น