โรคเซลิแอคคืออะไร
โรคเซลิแอค (Celiac Disease) คือโรคที่เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร ที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาต่อกลูเตนแบบผิดปกติ โรคเซลิแอคหรือที่รู้จักกันในชื่ออื่น เช่น:
-
โรคสปรู sprue
-
โรค nontropical sprue
-
โรค gluten-sensitive enteropathy
กลูเตนคือโปรตีนที่พบในอาหารที่ทำมาจากข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์และข้าวทริทิเคลี กลูเตนยังอาจพบได้ในยา วิตามินและลิปสติก การแพ้กลูเตนรู้กันดีว่าเป็นอาการที่ไวต่อกลูเตน เป็นเพราะร่างกายไม่สามารถย่อยหรือสลายกลูเตนได้ ผู้ป่วยบางรายที่แพ้กลูเตนอาจจะไวต่อกลูเตนไม่มาก ในขณะที่โรคเซลิแอคเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองโรคหนึ่ง
โรคเซลิแอค คือการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่มีต่อกลูเตนโดยสร้างสารพิษที่ทำลายวิลไล วิลไลคือตุ่มขนาดเล็กๆเหมือนนิ้วมือที่อยู่ในลำไว้เล็ก เมื่อวิลไลถูกทำให้เสียหาย ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมสารอาหารจากอาหารได้ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารและภาวะแทรกซ้อนของสุขภาพที่รุนแรงอื่นๆได้ รวมไปถึงลำไส้เสียหายถาวร
คนที่ป่วยโรคเซลิแอคมีความจำเป็นต้องกำจัดอาหารที่มีกลูเตนเป็นส่วนประกอบทั้งหมดออกจากอาหารที่รับประทาน ซึ่งรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จำพวกขนมปัง ขนมอบ เบียร์และอาหารทุกชนิดที่มีกลูเตนที่เป็นส่วนผสม
อาการของโรคเซลิแอคคืออะไร
อาการของโรคเซลิแอคนอกจากจะเกิดขึ้นที่ลำไส้และระบบการย่อยแล้ว โรคยังส่งผลให้เกิดอาการในส่วนอื่นๆของร่างกายได้ด้วย เด็กและผู้ใหญ่มีแนวโน้มที่จะมีอาการที่แตกต่างกัน
อาการโรคเซลิแอคในเด็ก
เด็กที่เป็นโรคเซลิแอคจะรู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิด เด็กอาจตัวเล็กกว่าปกติและมีภาวะการเข้าสู่ภาวะเจริญพันธ์ช้า และอาจมีอาการอื่นๆร่วมอีกเช่น:
อาการโรคเซลิแอคในผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคเซลิแอคมักต้องประสบกับปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ในผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการที่เกิดขึ้นมักส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย โดยมีอาการต่างๆดังต่อไปนี้:
-
ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
-
เจ็บตามข้อต่อและขาดความยืดหยุ่น
-
กระดูกเปราะ อ่อน
-
มีอาการเหนื่อยล้า
-
อาการชัก
-
เป็นโรคผิวหนัง
-
มีอาการชาและเป็นเหน็บที่มือหรือเท้า
-
สีฟันเปลี่ยนไปหรือเคลือบฟันเสื่อม
-
เจ็บในปาก
-
มีรอบเดือนผิดปกติ
ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตนเองบนผิวหนัง (DH) คืออีกอาการหนึ่งที่สามารถพบได้ทั่วไปของโรคเซลิแอค DH คือโรคที่มีผื่นคันขึ้นบนผิวหนังอย่างรุนแรงทำให้ผิวขรุขระและเป็นแผลพุพอง อาจเกิดขึ้นที่บริเวณข้อศอก ก้นและหัวเข่า โรค DH ส่งผลกระทบเฉลี่ยประมาณ 15-25 เปอร์เซนต์ต่อผู้ป่วยโรคเซลิแอคทั้งหมด ผู้ที่ประสบกับโรค DH มักไม่มีอาการเกี่ยวกับระบบย่อย
สิ่งที่สำคัญคืออาการที่เกิดขึ้นนั้นอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่น:
-
ช่วงระยะเวลาของการดื่มนมมารดาตอนเป็นทารก
-
อายุที่เริ่มต้นทานกลูเตน
-
จำนวนของกลูเตนที่รับประทาน
-
ลำไส้เสียหายรุนแรง
ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคเซลิแอคอาจไม่มีอาการ แต่อย่างไรตัวโรคเองยังสามารถพัฒนาให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวที่เป็นผลมาจากโรคได้อยู่ดี
ควรนัดปรึกษาแพทย์หากคุณสงสัยว่าตัวคุณหรือลูกของคุณอาจป่วยเป็นโรคเซลิแอค เมื่อการวินิจฉัยและการรักษาล่าช้าเกินไป ก็อาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
ใครคือผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเซลิแอคบ้าง
โรคเซลิแอคเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ จากข้อมูลของ University of Chicago Medical Center พบว่า 1ใน12 คนมีโอกาสเป็นโรคเซลิแอคได้หากมีพ่อแมีหรือพี่น้องเป็นโรคดังกล่าว
คนที่มีภาวะโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองและเป็นโรคเกี่ยวกับทางพันธุกรรมมักจะเป็นเซลิแอคได้มากกว่าคนอื่น ซึ่งอาจมีโรคบางโรคที่เกิดขึ้นร่วมกับโรคเซลิแอคด้วยเช่น:
-
โรคเบาหวานชนิดที่ 1
-
โรคแอคดิสัน
-
กลุ่มอาการโจเกรน
-
ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
การวินิจฉัยโรคเซลิแอค
การวินิจฉัยจะเริ่มด้วยการตรวจร่างกายและซักประวัติโรคประจำตัว
แแพทย์จะทำการตรวจสอบหลายอย่างเพื่อนำมาช่วยในการตัดสินโรค คนที่เป็นโรคเซลิแอคพบว่ามักมีระดับ antiendomysium สูง และมี anti-tissue transglutaminase (tTGA) antibodies สิ่งนี้สามารถตรวจพบเจอได้ด้วยการตรวจเลือด การตรวจสามารถเชื่อถือได้เมื่อมันแสดงตัวออกมาในขณะที่ยังมีกลูเตนอยู่ในอาหารที่รับประทาน
การตรวจเลือดทั่วไป เช่น:
-
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
-
การตรวจการทำงานของตับ
-
การตรวจคอเรสเตอรอล
-
การตรวจสารแอลคาไลน์ฟอสฟสเทส
-
การตรวจอัลบูมิน
ในคนที่เป็นโรค DH การตัดชิ้นเนื้อผิวหนังไปตรวจสามารถช่วยทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเซลิแอคได้ ในระหว่างการตัดชิ้นเนื้อผิวหนังไปตรวจ แพทย์อาจตัดนำเนื้อเยื่อผิวหนังเล็กๆออกมาตรวจด้วยกล้องขยาย หากการตัดชิ้นเนื้อผิวหนังและผลจากการตรวจเลือดสามารถช่วยให้แพทย์สามารถระบุโรคเซลิแอคได้แล้ว การต้องตัดชิ้นเนื้อภายในอาจไม่มีความจำเป็น
ในบางรายที่ผลการตรวจเลือดและการตัดชิ้นเนื้อยังไม่สามารถสรุปได้ การตรวจส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้นสามารถช่วยทดสอบหาโรคเซลิแอคได้ ในระหว่างการตรวจแพทย์จะสอดใส่สายยางเล็กๆเข้าไปทางปากและลงไปยังลำไส้เล็ก กล้องเล็กๆที่ติดไว้กับสายจะลงไปตรวจดูลำไส้เพื่อเช็คความเสียหายของวิลไล แพทย์อาจตัดเอาชิ้นเนื้อจากภายในลำไส้ ซึ่งเป็นการเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อออกมาจากลำไส้เพื่อนำมาวิเคราะห์
การรักษาโรคเซลิแอค
วิธีเดียวที่จะรักษาโรคเซลิแอคคือการต้องกำจัดกลูเตนออกจากอาหารที่รับประทานอย่างสิ้นเชิง ด้วยการปล่อยให้ลำไส้วิลไลได้รับการเยียวยาและเริ่มต้นดูดซึมสารอาหารได้อย่างเหมาะสม แพทย์จะสอนวิธีหลีกเลี่ยงกลูเตนจากอาหาร แพทย์จะให้คำแนะนำถึงวิธีการอ่านสลากอาหารหรือผลิตภัณฑ์ใดๆเพื่อที่คุณจะสามารถรู้ส่วนผสมว่ามีกลูเตนผสมอยู่หรือไม่
อาการอาจดีขึ้นได้ภายในไม่กี่วันหลังจากเอากลูเตนออกจากอาหารที่รับประทาน แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรหยุดการกินกลูเตนจนกว่าจะได้รับการตรวจ การเอากลูเตน ออกก่อนล่วงหน้าที่จะตรวจอาจทำให้ผลการตรวจผิดพลาดได้
การเตรียมอาหารสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเซลิแอค
การพยายามหาอาหารรับประทานแบบไม่มีกลูเตนเลยนั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่าย โชคดีที่ตอนนี้มีบริษัทหลายที่ที่ออกผลิตภัณฑ์ปราศจากกลูเตนออกมา ซึ่งสามารถหาได้ตามร้านขายของชำทั่วไป บนผลิตภัณฑ์จะมีฉลากคำว่า “ปราศจากกลูเตน” ติดไว้
หากคุณเป็นโรคเซลิแอค สิ่งที่สำคัญคือการรู้จักชนิดอาหารที่มีความปลอดภัย ต่อไปนี้คือชุดอาหารที่อาจช่วยให้คุณรู้ว่าอะไรคววรรับประทานอะไรควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี้ที่ควรหลีกเลี่ยง:
-
ข้าวสาลี
-
แป้งสเปล
-
ข้าวไรย์
-
ข้าวบาเลย์
-
ข้าวทริทิเคลี
-
ข้าวบัลเกอร์
-
ข้าวสาลีดูรัม
-
แป้งฟารินา
-
แป้งเกรแฮม
-
แป้งซีโมลินา
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงแม้จะมีฉลากปราศจากกลูเตนก็ตาม เช่น:
-
เบียร์
-
ขนมปัง
-
เค้กและพาย
-
ลูกอม
-
ซีเรียล
-
คุ้กกี้
-
แครกเกอร์
-
กรูตองซ์
-
น้ำเกรวี่
-
เนื้อหรืออาหารทะเลเลียนแบบ
-
ข้าวโอ๊ต
-
พาสต้า
-
เนื้อแปรรูป ไส้กรอกและฮอตด็อก
-
น้ำสลัด
-
ซอสต่างๆ (รวมไปถึงน้ำปลาด้วย)
-
ซุบ
นี่คือแป้งและข้าวสาลีที่ปราศจากกลูเตนที่สามารถรับประทานได้:
-
บัควีท
-
ข้าวโพด
-
ผักโขม
-
แป้งเท้ายายม่อม
-
คอร์นมีล
-
แป้งที่ทำมาจากข้าว ซอส ข้าวโพด มันฝรั่งหรือถั่ว
-
ตอร์ติยาข้าวโพดแท้
-
ข้าว
-
มันสำปะหลัง
อาหารสุขภาพที่ปราศจากกลูเตน เช่น:
-
เนื้อสด และสัตว์ปีกที่ไม่ผ่านชุบเกล็ดขนมปัง เคลือบหรือหมัก
-
ผลไม้
-
ผลิตภัณฑ์นมส่วนใหญ่
-
ถั่ว มันฝรั่ง รวมไปถึงมันหวานและข้าวโพด
-
ข้าว ถั่วและถั่วเลนทิล
-
ผัก
-
ไวน์ เหล้ากลั่น ไซเดอร์และเหล้า
อาการของผู้ป่วยควรดีขึ้นภายในไม่กี่วันจนถึงหลายสัปดาห์หลังจากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรับประทานอาหาร ในเด็กสำไส้มักจะหายได้เองภายใน 3ถึง6 เดือน แต่อาจใช้เวลาหลายปีในผู้ใหญ่ เมื่อลำไส้ได้รับการเยียวยาสมบูรณ์เต็มที่แล้ว ร่างกายก็จะสามารถดูดซับสารอาหารได้อย่างเหมาะสม
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเซลิแอค
โรคเซลิแอค เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองที่เกิดจากการบริโภคกลูเตน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวไรย์ เมื่อบุคคลที่เป็นโรคเซลิแอค กินกลูเตน จะทำให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำให้เกิดอาการทางระบบย่อยอาหารและอาการทางระบบต่างๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา โรคเซลิแอคงอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเซลิแอค:- ภาวะทุพโภชนาการ: ความเสียหายต่อลำไส้เล็กในโรคเซลิแอค อาจทำให้การดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นลดลง นำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดวิตามิน (เช่น บี 12 ดี และเค) และแร่ธาตุ (เช่น เหล็กและแคลเซียม) ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพมากมาย
- โรคกระดูกพรุน: โรคเซลิแอค อาจทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง ซึ่งจะทำให้สูญเสียความหนาแน่นของกระดูก และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก
- โรคโลหิตจาง: การดูดซึมธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 ไม่เพียงพออาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ส่งผลให้เหนื่อยล้า อ่อนแรง และอาการอื่นๆ
- โรคผิวหนังอักเสบ : บุคคลบางคนที่เป็นโรคเซลิแอค จะมีอาการทางผิวหนังที่เรียกว่าโรคผิวหนังอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นผื่นผิวหนังพุพองและคัน
- อาการทางระบบประสาท: โรคเซลิแอค อาจส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะ โรคปลายประสาทอักเสบ และแม้แต่อาการชักในบางกรณีซึ่งพบไม่บ่อย
- ปัญหาภาวะมีบุตรยากและการสืบพันธุ์: โรคเซลิแอค อาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในทั้งชายและหญิง ผู้หญิงที่เป็นโรคเซลิแอค ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจมีปัญหาในการตั้งครรภ์หรือมีความเสี่ยงที่จะแท้งเพิ่มขึ้น ผู้ชายที่เป็นโรคเซลิแอค อาจมีอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงเช่นกัน
- ภาวะแทรกซ้อนทางเดินอาหาร: การอักเสบเรื้อรังและความเสียหายต่อเยื่อบุลำไส้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การตีบของลำไส้ แผลในกระเพาะอาหาร และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคมะเร็งในทางเดินอาหาร แม้ว่าจะพบได้ค่อนข้างน้อยก็ตาม
- การแพ้แลคโตส: ความเสียหายต่อลำไส้เล็กอาจทำให้เกิดการแพ้แลคโตสทุติยภูมิได้ เนื่องจากเอนไซม์ที่จำเป็นในการย่อยแลคโตสนั้นผลิตโดยเซลล์ในเยื่อบุของลำไส้เล็ก ซึ่งอาจได้รับความเสียหายในโรคเซลิแอค
- ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ: บุคคลที่เป็นโรคเซลิแอค มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ เช่น เบาหวานประเภท 1 ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ภูมิต้านตนเอง และโรคตับภูมิต้านตนเอง
- คุณภาพชีวิตที่ลดลง: อาการเรื้อรังและข้อจำกัดด้านอาหารอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของบุคคล นำไปสู่ความท้าทายทางสังคมและจิตใจ รวมถึงภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://medlineplus.gov/celiacdisease.html
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/celiac-disease/symptoms-causes/syc-20352220
-
https://www.nhs.uk/conditions/coeliac-disease/
-
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/14240-celiac-disease
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team