แมมโมแกรม (Mammogram) – การเตรียมการ, อาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
แมมโมแกรม

แมมโมแกรมคือ อะไร 

แมมโมแกรมคือ การเอกซเรย์เต้านม เป็นเครื่องมือในการตรวจคัดกรองที่ใช้ในการระบุ และวินิจฉัยมะเร็งเต้านม ร่วมกับการตรวจตามปกติ และการตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือน การตรวจแมมโมแกรมคือ องค์ประกอบสำคัญในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในเบื้องต้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจแมมโมแกรมทุกหนึ่ง หรือสองปี โดยเฉพาะหากเคยมีคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคมะเร็งเต้านม แพทย์อาจแนะนำให้คุณเริ่มตรวจก่อนคนอื่นๆ และบ่อยกว่า หรือใช้เครื่องมืออื่นๆเพิ่มเติม หากพบก้อน หรือมีอาการอื่นๆของมะเร็งเต้านม แพทย์จะสั่งตรวจแมมโมแกรม หากคุณเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน แพทย์อาจสั่งตรวจแบบผู้ที่มีอาการ การตรวจแมมโมแกรมแบบผู้ที่มีอาการจะคลอบคลุมมากกว่าการตรวจแมมโมแกรมแบบผู้ที่ไม่มีอาการ การตรวจนี้จะได้ภาพเอกซเรย์ที่เห็นเต้านมได้หลายตำแหน่ง นักรังสีวิทยาอาจจะดูส่วนที่น่ากังวลเป็นพิเศษ

การตรวจแมมโมแกรมต้องเตรียมตัวอย่างไร 

คุณจะได้รับคำแนะนำในวันที่ทำการตรวจ ไม่ควรทายาดับกลิ่นตัว แป้งทาตัว หรือน้ำหอม อีกทั้งยังไม่ควรทาขี้ผึ้ง หรือครีมที่เต้านม หรือรักแร้ สารดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้ภาพบิดเบือน หรือดูเหมือนมีหินปูนที่เต้านม หรือมีแคลเซียมสะสมอยู่ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรต้องหลีกเลี่ยง ต้องแจ้งให้นักรังสีวิทยาทราบก่อนทำการตรวจหากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ตามปกติแล้วจะไม่สามารถได้รับการตรวจแมมโมแกรมในเวลานี้ แต่หากมีความจำเป็นแพทย์อาจเลือกวิธีการตรวจอย่างอื่นแทนเช่นการอัลตราซาว

Mammogram

จะเกิดอะไรขึ้นในระหว่างการตรวจแมมโมแกรม 

หลังจากถอดตั้งแต่ท่อนบนขึ้นไปออก และถอดสร้อยคอทุกชนิดออก ช่างเทคนิคจะให้คุณสวมเสื้อคลุมที่ผูกไว้ที่ด้านหน้า ขึ้นอยู่กับเครื่อง คุณอาจยืน หรือนั่งในระหว่างการทำแมมโมแกรม เต้านมแต่ละข้างจะถูกนำไปวางบนแผ่นเอกซเรย์ เครื่องจะค่อยๆกดเต้านมเพื่อให้เนื้อเยื่อเต้านมแผ่ออก ซึ่งจะทำให้เห็นภาพเต้านมได้ชัดเจนมากขึ้น คุณอาจต้องกลั้นหายใจในการถ่ายภาพแต่ละภาพ คุณอาจรู้สึกถึงแรงบีบ หรืออาการไม่สบายตัว แต่มักใช้เวลาเพียงชั่วสั้นๆเท่านั้น ในระหว่างกระบวนการนี้ แพทย์จะประเมินภาพที่ได้ อาจมีการสั่งถ่ายภาพเพิ่มเติมเพื่อให้เห็นบางมุมที่แตกต่างออกไปหากยังมีบางสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน หรือต้องมีจุดที่ต้องใส่ใจเพิ่มเติม  บางครั้งอาจต้องทำการตรวจด้วยแมมโมแกรมแบบดิจิตอล โดยเฉพาะเพื่อช่วยสำหรับอายุน้อยกว่า 50 ปี  แมมโมแกรมดิจิตอลจะแปลงการเอกซเรย์เต้านมไปเป็นภาพอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ จะดูภาพได้ในทันที ดังนั้นนักรังสีวิทยาจะไม่ต้องรอภาพ ภาพในคอมพิวเตอร์จะช่วยให้แพทย์เห็นภาพที่ไม่สามารถเห็นได้จากแมมโมแกรมปกติ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจแมมโมแกรมคืออะไร 

เช่น เดียวกับการเอกซเรย์ชนิดอื่นๆ คุณจะได้รับปริมาณรังสีเล็กน้อยในระหว่างการทำแมมโมแกรม แต่อย่างไรก็ตามถือเป็นความเสี่ยงที่ต่ำมาก สำหรับหญิงตั้งครรภ์ และมีความจำเป็นต้องทำแมมโมแกรมก่อนวันคลอดบุตร จะต้องสวมชุดคลุมกันไว้ในระหว่างการตรวจ

ผลที่ได้มีความหมายอย่างไร 

ภาพที่ได้จากแมมโมแกรมจะช่วยหาหินปูนเกาะ หรือการสะสมของแคลเซียมที่เต้านม การมีหินปูนเกาะไม่ใช่สัญญานของโรคมะเร็ง การตรวจนี้ยังช่วยหาถุงน้ำ ถุงที่เต็มไปด้วยของเหลวที่อาจเกิดขึ้น และหายไปได้เองในระหว่างช่วงการมีรอบเดือน  และหาก้อนเนื้อมะเร็ง หรือไม่ใช่มะเร็ง ระบบการอ่านแมมโมแกรมแห่งชาติที่เรียกว่า BI-RADS หรือ Breast Imaging Reporting And Database System จะมีทั้งหมด 7 กลุ่ม ตั้งแต่ 0 ถึง 6 ในแต่ละกลุ่มจะอธิบายภาพเพิ่ม และบริเวณที่มีก้อนเนื้อที่อาจเป็นมะเร็ง หรือไม่เป็นมะเร็ง ในแต่ละกลุ่มจะแผนการติดตามตรวจของตัวเอง แผนนี้อาจรวมไปถึงการรวบรวมภาพเข้าด้วยกัน การคัดกรองตามปกติ การทำนัดติดตามทุกหกเดือน หรือการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ แพทย์จะแจ้งผลให้คุณทราบ และอธิบายขั้นตอนต่อไปในระหว่างนัดติดตาม

ใครที่ควรทำแมมโมแกรม 

การตรวจเต้านมเป็นขั้นตอนการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยด้วยภาพซึ่งโดยทั่วไปแนะนำสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มอายุบางกลุ่มหรือมีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะ แนวปฏิบัติสำหรับการตรวจแมมโมแกรมอาจแตกต่างกันเล็กน้อยตามองค์กรทางการแพทย์ต่างๆ แต่คำแนะนำทั่วไปบางประการ ได้แก่:

แนวทางทั่วไป:

  • ผู้หญิง :
    • การตรวจแมมโมแกรมมักแนะนำสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม อายุที่จะเริ่มการตรวจแมมโมแกรมเป็นประจำอาจแตกต่างกันไปตามแนวทางจากองค์กรด้านสุขภาพต่างๆ
  • การคัดกรองปกติ:
    • สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเฉพาะเจาะจง มักแนะนำให้ทำการตรวจแมมโมแกรมทุกๆ 1-2 ปี ความถี่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงแต่ละบุคคลและคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ

คำแนะนำเฉพาะ:

  • อายุ 40 ปีขึ้นไป:
    • องค์กรด้านสุขภาพหลายแห่ง รวมถึง American Cancer Society และ USPSTF แนะนำว่าผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปควรมีตัวเลือกในการเริ่มการตรวจคัดกรองเต้านมเป็นประจำ
  • อายุ 50 ปีขึ้นไป:
    • สำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงโดยเฉลี่ย USPSTF แนะนำให้ตรวจคัดกรองแมมโมแกรมทุกๆ สองปีสำหรับผู้หญิงอายุ 50 ถึง 74 ปี อย่างไรก็ตาม พวกเขายังระบุด้วยว่าการตัดสินใจเริ่มการตรวจคัดกรองก่อนอายุ 50 ปีควรเป็นการตัดสินใจเป็นรายบุคคล โดยคำนึงถึงบริบทและค่านิยมของผู้ป่วย
  • ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง:
    • ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหรือมีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมโดยเฉพาะ (เช่น BRCA1, BRCA2) อาจได้รับการแนะนำให้เริ่มการตรวจคัดกรองเร็วขึ้นหรือได้รับการตรวจคัดกรองบ่อยขึ้น การประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคลเป็นสิ่งสำคัญในกรณีเหล่านี้
  • การคัดกรองสตรีวัย 40 ปี:
    • สมาคมโรคมะเร็งอเมริกันรับทราบถึงประโยชน์และข้อจำกัดของการตรวจคัดกรองเต้านมสำหรับผู้หญิงในช่วงอายุ 40 ปี และแนะนำว่าผู้หญิงควรมีโอกาสเริ่มการตรวจคัดกรองประจำปีในช่วงอายุ 40 ปี
  • แนวทางเฉพาะบุคคล:
    • การตัดสินใจว่าจะเริ่มการตรวจแมมโมแกรมเมื่อใดและความถี่ในการตรวจคัดกรองควรเป็นรายบุคคลโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประวัติสุขภาพส่วนบุคคล ประวัติครอบครัว ความหนาแน่นของเต้านม และความชอบของผู้ป่วย
  • การตรวจเต้านมทางคลินิก:
    • นอกเหนือจากการตรวจเต้านมแล้ว ผู้หญิงควรได้รับการตรวจเต้านมทางคลินิกเป็นประจำโดยผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งสามารถประเมินสุขภาพเต้านมและหารือเกี่ยวกับทางเลือกในการตรวจคัดกรองได้

ข้อพิจารณาพิเศษ:

  • ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านม:
    • ผู้หญิงที่รอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมอาจมีคำแนะนำเฉพาะสำหรับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจเต้านมและรังสีเอกซ์อื่นๆ
  • ผู้ชายที่มีความเสี่ยง:
    • แม้ว่าจะพบไม่บ่อย แต่ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน อาจแนะนำให้ใช้การตรวจแมมโมแกรมสำหรับผู้ชายที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประวัติครอบครัวหรือการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม

การปรึกษาหารือกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพ:

  • การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล:
    • จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้หญิงจะต้องมีการหารืออย่างเปิดเผยและมีข้อมูลกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อประเมินปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคลและกำหนดแผนการคัดกรองที่เหมาะสมที่สุด
  • การตัดสินใจอย่างมีข้อมูล:
    • การตัดสินใจรับการตรวจแมมโมแกรมและความถี่ของการตรวจคัดกรองควรเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลโดยพิจารณาจากประวัติสุขภาพ ค่านิยม และความชอบส่วนบุคคล
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือแนวทางอาจมีการอัปเดต และคำแนะนำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กรด้านการดูแลสุขภาพ ผู้หญิงควรปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการตรวจคัดกรองส่วนบุคคลโดยพิจารณาจากประวัติสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน การตรวจสุขภาพเต้านมเป็นประจำและการปรึกษาหารือกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญของการป้องกันมะเร็งเต้านมและกลยุทธ์การตรวจหามะเร็งตั้งแต่เนิ่นๆ

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.cdc.gov/cancer/breast/basic_info/mammograms.htm
  • https://www.cancer.org/cancer/breast-cancer/screening-tests-and-early-detection/mammograms/mammogram-basics.html
  • https://www.radiologyinfo.org/en/info/mammo
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด