รอยฟกช้ำ (Bruising) สีดำหรือสีน้ำเงินหรือบาดแผลที่มีรอยช้ำสีเขียวเกิดจากอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้แก่บาดแผลที่เกิดขึ้นใต้ผิวหนังและอาการบางเจ็บที่ทำให้เกิดการฉีกของของเส้นเลือดฝอยทำให้มีเลือดคั่งใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรอยฟกช้ำ
รอยฟกช้ำสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกวัย โดยอาจเกิดขึ้นเป็นรอยฟกช้ำขนาดเล็กที่ไม่ค่อยได้สังเกตุ รอยฟกช้ำเป็นรอยทั่วไปที่สามารถเกิดขึ้นบนร่างกาย สิ่งที่จำเป็นคือควรรักษารอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นด้วยวิธีที่เหมาะสม
สาเหตุของรอยฟกช้ำคืออะไร
รอยฟกช้ำที่เกิดขึ้นบริเวณคางหรือหัวเข่าอาจเกิดจากการกระทบหรือชนกับวัตถุต่างๆโดยที่คุณไม่ทันระวังตัว สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้แก่- การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
- อุบัติเหตุทางรถยนตร์
- อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ
- ข้อเท้าเคล็ดขัดยอก
- กล้ามเนื้อฉีกขาด
- การชนหรือกระแทกกับวัจถุต่างๆเช่นลูกบอลกระทบกับศีรษะ
- การทานยาที่ทำให้หลอดเลือดบางลดเช่นยาแอสไพรินหรือยา warfarin (Coumadin)
- การทานอาหารเสริม
การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
- อาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในช่วงระหว่างเล่นกีฬาหรือขณะออกกำลังกาย
- การบาดเจ็บระหว่างเล่นกีฬาได้แก่กระดูกหัก กล้ามเนื้อเคล็ดหรือฉีกขาด กระดูกเคลื่อนที่ เส้นเอ็นฉีกขาดและกล้ามเนื้ออักเสบบวม
- นอกจากนี้การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาอาจเกิดขึ้นจากการใช้กล้ามเนื้อบางส่วนของร่างกายมากเกินไป
โรคเกล็ดเลือดต่ำ
- โรคเกล็ดเลือดต่ำหมายถึงการวัดค่าเกล็ดเลือดภายในร่างกายได้ต่ำกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหลายอย่างได้
- อาการที่เกิดขึ้นมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน
- อาการของโรคเกล็ดเลือดต่ำได้แก่มีรอยฟกช้ำสีแดง ม่วงหรือน้ำตาล มีผื่นสีแดงหรือสีม่วงเกิดขึ้น เลือดกำเดาไหล มีเลือดออกที่เหงือก เลือดไหลไม่หยุด มีปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด อาเจียนเป็นเลือดและมีประจำเดือนมากกว่าปกติ
โรคลูคีเมีย
- โรคลูคีเมียเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวในกระดูกสันหลังมากเกินไปจนควบคุมไม่ได้
- โรคลูคีเมียสามารถแบ่งออกเป็นชนิดเรื้อรังและเฉียบพลัน โดยมะเร็งชนิดนี้สามารถเกิดจากเม็ดเลือดขาวได้ 2 ชนิด คือ lymphocyte และ myeloid
- อาการทั่วไปของโรคมะเร็งชนิดนี้ได้แก่ มีเหงือออกมาก โดยเฉพาะในตอนกลางคืน มีอาการเหนื่อยล้าที่ไม่หายไปด้วยการพักผ่อน รวมถึงน้ำหนักตัวลดลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ปวดกระดูกและมีจุดกดเจ็บ
- มีอาการต่อมน้ำเหลืองบวม (โดยเฉพาะที่คอและรักแร้) มีอาการตับและม้ามโต มีจุดสีแดงเกิดขึ้นบนผิวหนัง (จ้ำเลือด) นอกจากนี้ยังมีอาการเลือดออกง่ายและมีรอยฟกช้ำง่าย
การบาดเจ็บที่ศีรษะ
- หมายถึงอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับสมอง กะโหลกหรือหนังศีรษะ
- โดยปกติอาการบาดเจ็บที่ศีรษะเกิดจากการกระทบกระเทือนที่ใบหน้าหรือศีรษะ รวมถึงการสั่นสะเทือนที่ศีรษะอย่างรุนแรง
- เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บของศีรษะที่รุนแรง โดยแพทย์เฉพาะทาง
- สัญญาณอันตรายเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บที่ศีรษะและควรได้รับการรักษาทันที ได้แก่ หมดสติ ลมชัก อาเจียน มีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาสมดุล ปวดหัวอย่างรุนแรงมากขึ้น ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ สูญเสียความทรงจำและมีของเหลวไหลออกจากหูหรือจมูก
ข้อเท้าเคล็ด
- เกิดอาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นยึดกระดูก (ligaments) ซึ่งเป็นเอ็นที่เชื่อมต่อระหว่างกระดูกของขาและเท้า
- โดยปกติอาการข้อเท้าเคล็ดมักเกิดขึ้นเมื่อข้อเท้าพลิกหรือข้อเท้าบิดเข้าหรือออกผิดปกติ
- อาการของข้อเท้าเคล็ดได้แก่ เกิดจุดกดเจ็บ รอยฟกช้ำ เจ็บปวด ไม่สามารถลงน้ำหนักที่ข้อเท้าได้ ผิวหนังเปลี่ยนสีและข้อเท้าตึง
กล้ามเนื้อฉีก
- กล้ามเนื้อฉีกขาดเกิดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อถูกยืดมากเกินไปหรือฉีกขาดเนื่องจากการบาดเจ็บหรือการใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป
- อาการของกล้ามเนื้อฉีกได้แก่ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เคลื่อนไหวส่วนที่เกิดอาการเจ็บปวดได้จำกัด เกิดรอยฟกช้ำหรือผิวหนังเปลี่ยนสีและมีอาการกล้ามเนื้อเป็นตะคริว
- สำหรับอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อที่ไม่รุนเเรงสามารถดูแลและรักษาอาการได้เองที่บ้านด้วยการหยุดใช้กล้ามเนื้อและใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่บาดเจ็บ รวมถึงหมั่นยืดกล้ามเนื้อเบาๆและทานยาแก้อักเสบ
โรคเลือดไหลไม่หยุด ชนิด A
- โรคทางพันธุกรรมที่ทำให้มีเลือดไหลออกมาผิดปกติและเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีระดับโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าองค์ประกอบในการเเข็งตัวของเลือด เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุด
- โรคนี้เกิดจากการขาดแคลนยีนบางชนิดที่ทำหน้าที่สั่งร่างกายให้ผลิตองค์ประกอบในการเเข็งตัวของเลือดได้แก่ องค์ประกอบการเเข็งตัวของเลือดชนิด VIII, IX, หรือ XI
- การขาดแคลนองค์ประกอบในการเเข็งตัวของเลือดเหล่านี้ทำให้เกิดเลือดไหลออกง่ายและมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- อาการของโรคนี้ได้แก่ มีเลือดไหลและเกิดรอยฟกช้ำง่าย มีเลือดกำเดาไหลและเลือดออกเหงือก รวมถึงมีเลือดออกมากเกินไปหลังจากผ่าตัดหรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอาจมีภาวะเลือดออกในสมองร่วมด้วย
ประเภทของรอยฟกช้ำ
รอยฟกช้ำแบ่งออกเป็น 3 ประเภท โดยขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เกิดรอยฟกช้ำขึ้นบนร่างกาย:- รอยฟกช้ำใต้ผิวหนัง หรือช้ำใน
- รอยฟกช้ำในกล้ามเนื้อ
- รอยฟกช้ำเยื่อหุ้มกระดูก
ลักษณะของอาการช้ำ
ลักษณะของรอยฟกช้ำเกิดขึ้นจากสาเหตุที่แตกต่างกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสีผิวเป็นสัญญาณเเรกของการเกิดรอยฟกช้ำ โดยส่วนใหญ่รอยฟกช้ำทำให้ผิวหนังเปลี่ยนสีได้ดังต่อไปนี้- รอยช้ำสีแดง
- รอยช้ำสีเขียว
- รอยช้ำสีม่วง
- รอยช้ำสีน้ำตาล
- รอยช้ำสีเหลือง เมื่อรอยฟกช้ำใกล้หายไป
วิธีการรักษารอยฟกช้ำ
วิธีรักษารอยฟกช้ำเองที่บ้านสามารถปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้:- ใช้น้ำแข็งประคบเพื่อบรรเทาอาการบวม โดยสามารถใช้ผ้าพันถุงน้ำแข็งวางบนบริเวณที่เกิดรอยฟกช้ำได้โดยตรงเป็นเวลา 15 นาที โดยสามารถใช้น้ำแข็งประคบซ้ำได้ทุกชั่วโมง
- ควรยกบริเวณที่เกิดรอยฟกช้ำให้อยู่สูงขึ้นกว่าระดับหัวใจเพื่อลดอาการเลือดคั่งในเนื้อเยื่อ
- สามารถหาซื้อยาทานเองได้เมื่อเกิดอาการเจ็บปวดเช่นยาแก้ปวดไทลินอล ควรหลีกเลี่ยงการทานยาแอสไพรินหรือยาไอบลูโพรเฟน เนื่องจากเป็นยาที่ทำให้เลือดไหลออกได้มากขึ้น
- ความสวมใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเพื่อป้งอกันการเกิดรอยฟกช้ำ
วิธีป้องกันการเกิดรอยฟกช้ำ
รอยฟกช้ำสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายและเป็นไปได้ยากมากที่จะค่อยปกป้องร่างกายไม่ให้เกิดรอยฟกช้ำเมื่อทำกิจกรรมต่างๆเช่นเล่นกีฬาหรือขับขี่จักรยานและมอเตอร์ไซด์ ดังนั้นในขณะทำกิจกรรมต่างๆอย่างเช่นเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมผาดโผนต่างๆ ควรสวมใส่อุกปกรณ์ป้องกันร่างกายได้แก่หมวกกันน็อกและที่หุ้มเข่า แขน ขา หรือสะโพกการดูแลรอยฟกช้ำด้วยวิธีธรรมชาติ
การดูแลรอยฟกช้ำด้วยวิธีธรรมชาติมีดังนี้:- การประคบเย็น:การประคบเย็นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณที่ช้ำภายใน 24-48 ชั่วโมงแรกจะช่วยลดอาการบวมและบรรเทาอาการปวดได้ ห่อน้ำแข็งด้วยผ้าเพื่อป้องกันการสัมผัสผิวหนังโดยตรง และประคบครั้งละประมาณ 15-20 นาที
- เจลอาร์นิกา:อาร์นิกาเป็นวิธีการรักษาตามธรรมชาติที่มักใช้เพื่อลดอาการช้ำและการอักเสบ มีจำหน่ายในรูปแบบครีม เจล หรือขี้ผึ้ง ทาเป็นชั้นบางๆ บนบริเวณที่มีรอยช้ำ 2-3 ครั้งต่อวัน ควรระมัดระวังและทำการทดสอบแพทช์ เนื่องจากบางคนอาจแพ้อาร์นิกาได้
- สับปะรดและโบรมีเลน:สับปะรดมีเอนไซม์ที่เรียกว่าโบรมีเลน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ การรับประทานสับปะรดสดหรือการเสริมโบรมีเลนอาจช่วยลดอาการบวมและช้ำได้
- ขมิ้น:ขมิ้นมีเคอร์คูมินซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ คุณสามารถบริโภคขมิ้นในอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือทาครีมที่ทำจากขมิ้นกับน้ำโดยตรงบนรอยช้ำ
- วิตามินเค:อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเค เช่น ผักใบเขียว (ผักคะน้า ผักโขม บรอกโคลี) สามารถช่วยส่งเสริมการแข็งตัวของเลือดและลดรอยฟกช้ำเมื่อเวลาผ่านไป
- ดอกคอมฟรีย์:ดอกคอมฟรีย์เป็นสมุนไพรที่ใช้รักษารอยฟกช้ำและสภาพผิวอื่นๆ แบบดั้งเดิม ประกอบด้วยอัลลันโทอิน ซึ่งเป็นสารประกอบที่เชื่อกันว่าช่วยในการรักษาผิว สามารถใช้ครีม เฉพาะบริเวณที่มีรอยช้ำได้
- น้ำมันหอมระเหย:น้ำมันหอมระเหยบางชนิด เช่น ลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ และเฮลิครีซัม เชื่อว่าช่วยในการรักษาและลดการอักเสบได้ ผสมน้ำมันที่เลือกไว้สองสามหยดกับน้ำมันตัวพา (เช่น มะพร้าวหรือโจโจ้บา) แล้วทาเบาๆ บนรอยช้ำ
- การนวดเบาๆ:เมื่ออาการบวมเริ่มแรกลดลงแล้ว การนวดเบาๆ รอบบริเวณที่มีรอยฟกช้ำอาจช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้แรงกดดันมากเกินไป
- การพักผ่อนและโภชนาการที่เหมาะสม:การพักผ่อนอย่างเพียงพอและการรับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมีส่วนช่วยในการรักษาโดยรวม การดื่มน้ำให้เพียงพอยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้อีกด้วย
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/guide/bruises-article
- https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/healthy-aging/in-depth/easy-bruising/art-20045762
- https://www.nhs.uk/common-health-questions/accidents-first-aid-and-treatments/what-are-bruises/
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น