โรคมะเร็งเต้านม (Breast Cancer) คือโรคที่เกิดจากเซลล์บนผิวของต่อมเต้านมได้รับผลกระทบจากสารก่อมะเร็ง ทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จนทำให้เซลล์เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ หากเกินขีดจำกัดภาวะของร่างกายรับไหว จนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด ผู้หญิงที่มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านมจะอยู่ในช่วงระหว่างอายุ 40-60 ปี ซึ่งอยู่ในวัยก่อนหรือหลังหมดประจำเดือน
โดยปกติแล้วเซลล์ของมะเร็งเต้านมที่กลายพันธ์ จะก่อตัวขึ้นจากท่อเล็กๆ ในเต้านม บริเวณต่อมที่ผลิตน้ำนมไปจนถึงหัวนม เซลล์มะเร็งจะเกิดขึ้นในเนื้อเยื่อไขมันหรือเนื้อเยื้อที่อยู่ภายในเต้านมของผู้ป่วย
หากเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแล้วจะไม่สามารถควบคุมได้และเซลล์มะเร็งจะเดินทางไปยังต่อมต่อมน้ำเหลืองใต้แขน ซึ่งต่อมน้ำเหลืองเป็นเส้นทางหลักที่ทำให้เซลล์มะเร็งเดินทางไปยังส่วนอื่นๆของร่างกาย
ภาพรวมของโรคมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมสามารถทำให้เกิดอาการได้หลายอย่างและอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน หากกังวลเกี่ยวกับจุดหรือการเปลี่ยนแปลงบริเวณเต้านม ลักษณะเหล่านี้อาจเป็นสัญญาบอกว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมในระยะใด ควรรีบพบแพทย์โดยทันทีอาการของโรคมะเร็งเต้านม
อาการในช่วงแรกๆ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมมักจะไม่แสดงอาการใดๆ ในหลายๆผู้ป่วยก้อนเนื้อที่เต้านมอาจจะมีขนาดเล็กจนไม่สามารถทำให้รู้สึกได้ แต่หากมีอาการไม่ปกติจะสามารถมองเห็นผ่านเมมโมแกรมได้ หากรู้สึกว่ามีเนื้องอกเกิดขึ้นบริเวณเต้านมแล้วจากที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรก็ตามอาจจะไม่ได้หมายถึงอาการของโรคมะเร็งเต้านมก็ได้ มะเร็งเต้านมในแต่ละชนิด มีอาการที่แตกต่างกันออกไป หลายๆอาการอาจเหมือนกัน แต่บางอาการอาจแตกต่างกัน วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งเต้านม อาการเริ่มแรกของมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ที่พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ดังนี้:มะเร็งเต้านมมีอาการอย่างไร
- เกิดเป็นก้อนหรือรู้สึกมีก้อนเนื้อเยื่อภายในเต้านม จากที่ไม่เคยมีมาก่อน
- ปวดเต้านม
- ผิวบริเวณหน้าอกมีสีแดงและบุ๋มลงไป
- มีอาการบวมบริเวณเต้านมอาจจะทั่วบริเวณเต้านม หรือแค่บางส่วน
- มีหัวนมในลักษณะผิดปกติออกไป หัวนมเน่าหรือย่น
- มีเลือดไหลออกมาจากหัวนม
- ผิวบริเวณหัวนมหรือเต้านมหลุดลอก ตกสะเก็ด
- ลักษณะของเต้านมและรูปร่างของเต้านมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
- หัวนมบอด
- เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวบริเวณหน้าอก
- มีก้อนบวมเกิดขึ้นใต้วงแขน
ประเภทของมะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมมีหลายชนิด ในช่วงอาการแรกเริ่มแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ แบบลุกลาม และแบบไม่ลุกลามใน มะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเซลล์มะเร็งจากแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังต่อมผลิตน้ำนมหรือท่อน้ำนม หรือส่วนต่างๆบริเวณเต้านม ส่วนชนิดไม่ลุกลาม เซลล์มะเร็งจะยังไม่แพร่กระจายจากจุดเริ่มต้นที่ก่อเป็นเซลล์มะเร็งมะเร็งเต้านม 2 ประเภทนี้ มีรายละเอียดดังนี้
- Ductal carcinoma in situ (DCIS) หมายถึงมะเร็งที่เกิดในท่อน้ำนมและไม่แพร่กระจายการรักษามะเร็งชนิดนี้ได้ผลดีมากโดยการผ่าตัดและหรือฉายรังสี
- Lobular carcinoma in situ (LCIS) หมายถึงมะเร็งที่เกิดในต่อมน้ำนมและมะเร็งอยู่ในต่อมไม่แพร่กระจายไปที่อื่น
- Invasive ductal carcinoma เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดของผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งชนิดนี้เริ่มต้นในท่อน้ำนม แต่อาจจะแพร่กระจายสู่ต่อมหรือไขมันในเต้านม และสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ
- Invasive lobular carcinoma มะเร็งเริ่มต้นในต่อมน้ำนมและแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียงหรือวัยวะอื่นๆ
มะเร็งเต้านมอื่นๆ ที่พบได้น้อย มีดังนี้ :
- Paget disease of the nipple มะเร็งที่หัวนม (มะเร็งหัวนม) คือมะเร็งเต้านมชนิดหนึ่งที่พบได้น้อยมาก โดยเกิดกับผิวหนังบริเวณหัวนม
- (Phyllodes tumor คือก้อนเนื้องอกชนิดกึ่งมะเร็ง มะเร็งชนิดนี้ค่อนข้างพบได้ยาก และไม่เป็นอันตรายมาก
- Angiosarcoma เป็นก้อนมะเร็งเต้านมที่มีจุดกำเนิดจากเส้นเลือด (hemangiosarcoma) หรือจากระบบน้ำเหลือง (lymphangiosarcoma) ก้อนเนื้อเหล่านี้สัมพันธ์กับประวัติการได้รับรังสีมาก่อน เช่น พบที่เต้านมหลังจากฉายแสงรักษามะเร็งเต้านมหรือบริเวณหนังศีรษะ
มะเร็งเต้านมอักเสบ
มะเร็งเต้านมอักเสบเป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่พบได้ยาก เซลล์มะเร็งที่ก่อให้เป็นมะเร็งเต้านมอักเสบ จะปิดกั้นการไหลผ่านของต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณใกล้เต้านม จึงทำให้ต่อมน้ำเหลืองไม่สามารถระบายออกได้ ทำให้เกิดการอับสวบ บวม แดง และรู้สึกปวดร้อน ลักษณะผิวของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอักเสบผิวจะเป็นเหมือนเปลือกส้ม และเกิดเป็นหลุมมะเร็งเต้านมชนิด Triple negative Cancer
เป็นมะเร็งที่รุนแรงกว่ามะเร็งเต้านมทั่วไป ซึ่งมะเร็งกลุ่มนี้พบได้ประมาณ 10-20%ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด และมักพบในคนเป็นมะเร็งเต้านมที่อายุยังน้อย(มักอายุต่ำกว่า 50 ปี) และยังมีประจำเดือนอยู่ มักพบโรคในระยะลุกลามแพร่กระจายสูงกว่าชนิดทั่วไป มะเร็งชนิดนี้ มักมีโรคย้อนกลับเป็นซ้ำสูงกว่า มีการแพร่กระจายสูงกว่า หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative จะมีลักษณะดังนี้- Estrogen receptor ย่อว่า ER ถ้าเซลล์มะเร็งจับ/มีตัวรับ เอสโตรเจน เรียกว่า ER+ แต่ถ้าไม่จับก็เรียกว่า ER- การที่มะเร็งมีตัวรับนี้ โรคจะรุนแรงน้อยกว่า และสามารถรักษาได้ผลดีจากยาในกลุ่มฮอร์โมนต่างๆ
- (Progesterone receptor ย่อว่า PR ถ้าเซลล์มะเร็งมีตัวรับ โปรเจสเตอโรน เรียกว่า PR+ ถ้าไม่มี ก็เรียกว่า PR- การที่มะเร็งมีตัวรับนี้ โรคจะรุนแรงน้อยกว่า และสามารถรักษาได้ผลดีจากยาในกลุ่มฮอร์โมนต่างๆเช่นเดียวกับ ER+
- Human epidermal growth factor receptor 2 ย่อว่า HER2 เซลล์มะเร็งมีตัวรับ โปรเจสเตอโรน เรียกว่า PR+ ถ้าไม่มี ก็เรียกว่า PR- การที่มะเร็งมีตัวรับนี้ โรคจะรุนแรงน้อยกว่า และสามารถรักษาได้ผลดีจากยาในกลุ่มฮอร์โมนต่างๆเช่นเดียวกับ ER+
มะเร็งเต้านมในเพศชาย
ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีอยู่น้อยกว่าก็ตาม แต่ผู้ชายก็มีก้อนเนื้อเต้านมเหมือนผู้หญิง ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เช่นกัน แต่ก็อาจจะพบเจอได้ยากกว่า ที่กล่าวมามะเร็งเต้านมที่พบในผู้ชายนั้นรุนแรงพอ ๆ กับมะเร็งเต้านมในผู้หญิงเช่นกัน และมีอาการเดียวกันมะเร็งเต้านมแต่ละระยะ
มะเร็งเต้านมสามารถแบ่งออกเป็นระยะตามขนาดเนื้องอกหรือก้อนเนื้อและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งที่แผ่ขนาดใหญ่ / หรือมีการกัดกินเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที :- เซลล์มะเร็งมีการแพร่กระจาย ชนิดลุกลาม หรือไม่ลุกลาม
- ขนาดของก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่แค่ไหน
- มีอาการของต่อมน้ำเหลืองร่วมด้วยหรือไม่
- ถ้ามะเร็งแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง
มะเร็งเต้านมมีห้าระยะหลัก: ระยะ 0 ถึง 5
มะเร็งเต้านมระยะที่ 0 ระยะ 0 คือ DCIS เซลล์มะเร็งใน DCIS ยังคงกักอยู่ในท่อเต้านมและไม่ได้แพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง มะเร็งเต้านมระยะที่ 1 ระยะที่ 1A: สังเกตว่าก้อนมะเร็งกว้างไม่เกิน 2 เซนติเมตรและต่อมน้ำเหลืองไม่ได้รับผลกระทบ ระยะที่ 1B: พบมะเร็งในต่อมน้ำเหลือบริเวณข้างเคียงและไม่มีก้อนมะเร็งในเต้านมหรือก้อนเนื้อมีขนาดเล็กกว่า 2 ซม. มะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ระยะที่ 2A: ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กกว่า 2 ซม. และแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง 1-3 ต่อม หรือก้อนมะเร็งมีขนาดประมาณ 2 -5 ซม. และไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองอื่นๆ ระยะที่ 2B: ก้อนมะเร็งมีขนาดประมาณ 2 – 5 ซม. และแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองรักแร้ (รักแร้) มีขนาดประมาณ 1-3 ซม. หรือมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. และไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองอื่นๆ มะเร็งเต้านมระยะที่ 3 ระยะ 3A:- เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ก้อนมะเร็งมีขนาดประมาณ 4–9 ซม. และขยายไปยังหลอดเลือดต่อมน้ำเหลืองในเต้านมและก้อนเนื้ออาจจะมีขนาดบ่งบอกไม่แน่ชัด
- ก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. และเซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ขนาดประมาณ 1–3 ซม. หรือบริเวณกระดูกหน้าอก
การวินิจฉัยโรคมะเร็งเต้านม
การทดสอบเพื่อตรวจว่าอาการเกิดมะเร็งเต้านมหรือภาวะมะเร็งเต้านมในช่วงเริ่มต้น แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด แพทย์อาจให้ทำการทดสอบวินิจฉัยอย่างน้อยหนึ่งรายการเพื่อช่วยให้เข้าใจสาเหตุของภาวะมะเร็งเต้านม วิธีการวินิจฉัยมะเร็งเต้านม ได้แก่ :- การตรวจมะเร็งเต้านมแบบแมมโมแกรม เป็นวิธีที่พบได้บ่อยที่สุดในการดูใต้พื้นผิวของเต้านมคือการทดสอบการถ่ายภาพที่เรียกว่าแมมโมแกรม ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่จะได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี พร้อมตรวจมะเร็งเต้านมด้วย mammograms ซึ่งแมมโมแกรมเป็นการตรวจทางรังสีที่ใช้ปริมาณรังสีน้อยกว่าเครื่องเอกซเรย์ทั่วไป แต่ได้ภาพที่มีความละเอียดสูงและคมชัดมากกว่า ทำให้สามารถค้นหาความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ สามารถเห็นจุดหินปูนในเต้านม ซึ่งบางครั้งมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถคลำหรือตรวจด้วยอัลตร้าซาวด์พบ
- การตรวจเต้านมด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์ โดยใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพของเนื้อเยื่อที่ลึกลงไปในเต้านม อัลตร้าซาวด์สามารถช่วยแพทย์แยกแยะระหว่างมวลแข็ง เช่นก้อนเนื้อและซีส การใช้วิธีอัลตร้าซาวน์เป็นการตรวจโดยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าไปในเนื้อเต้านม เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับเนื้อเยื่อต่างๆ จะสะท้อนกลับขึ้นมาที่เครื่องตรวจ ทำให้สามารถตรวจจับความแตกต่างของเนื้อเยื่อปกติกับก้อนในเต้านมได้ และยังสามารถตรวจสอบได้ว่าก้อนในเต้านมนั้นมีองค์ประกอบเป็นน้ำ หรือเป็นก้อนเนื้อ
การตรวจชิ้นเนื้อเต้านม
หากแพทย์สงสัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมอาจให้ผู้ป่วยทำการตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวด์ หากการทดสอบทั้งสองนี้ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แพทย์อาจทำการทดสอบที่เรียกว่าการตรวจชิ้นเนื้อเต้านม ในระหว่างการทดสอบนี้แพทย์จะทำการเอาตัวอย่างเนื้อเยื่อออกจากบริเวณผิวเต้านมที่น่าสงสัยว่าอยู่ในภาวะมะเร็งเต้านมเพื่อทำการทดสอบ การตรวจชิ้นเนื้อเต้านมมีหลายประเภท การทดสอบเหล่านี้แพทย์ใช้เข็มเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ ในอีกทางหนึ่งแพทย์อาจทำการผ่าตัดเล็กโดยการผ่าตัดเนื้องอกที่เต้านมและเก็บชิ้นเนื้อตัวอย่าง แพทย์จะทำการส่งตัวอย่างชิ้นเนื้อไปยังห้องปฏิบัติการ หากตัวอย่างชิ้นเนื้อทดสอบแล้วว่ามีผลเป็นบวกสำหรับโรคมะเร็งเต้านม แพทย์จะสามารถแจ้งได้ว่าเป็นมะเร็งชนิดไหน และอยู่ในระยะใดการรักษามะเร็งเต้านม
ระยะของโรคมะเร็งเต้านม ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อมะเร็งเต้านมลุกลามแค่ไหน และขนาดก้อนเนื้อที่เจริญเติบโตขึ้นจะสามารถบอกได้ว่าควรได้รับการรักษาแบบใด การเริ่มต้นรักษาแพทย์จะแจ้งขนาดก้อนมะเร็ง และระยะมะเร็งของผู้ป่วย ว่ามีโอกาสเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้มากน้อยเพียงใด หลังจากนั้นแพทย์ทำการพูดคุย แนะนำและบอกวิธีการรักษาให้ผู้ป่วย การผ่าตัดเป็นวิธีรักษาโรคมะเร็งเต้านมที่พบบ่อยที่สุด ผู้หญิงที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่อาจมีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยการฉายรังสีหรือการบำบัดด้วยฮอร์โมนการผ่าตัด
การผ่าตัดมีเพื่อกำจัดก้อนมะเร็งเต้านม มีหลายประเภทดังนี้:- Lumpectomy: วิธีนี้จะกำจัดก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ออกจากเต้านม
- Mastectomy: วิธีนี้ศัลยแพทย์จะทำการการผ่าตัดเอา เต้านม ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ และกล้ามเนื้อที่หน้อกออก
- Sentinel node biopsy: ผ่าตัดนี้จะกำจัดต่อมน้ำเหลืองบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากเซลล์มะเร็งออก การ หากไม่พบมะเร็งบริเวณต่อมน้ำเหลืองนี้ อาจจะไม่ต้องผ่าตัดเพื่อเอาต่อมน้ำเหลืองเพิ่มเติมออก
- Axillary lymph node dissection ตัดเอาต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออกทั้งหมด
- Contralateral prophylactic mastectomy คือการผ่าตัดเต้านม แม้ว่ามะเร็งเต้านมอาจมีอยู่ในเต้านมเดียว แต่ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมอาจเลือกที่จะผ่าตัดเต้านมออก การผ่าตัดนี้จะช่วยให้ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมอีกครั้ง
รังสีบำบัด
ผู้ป่วยจะได้รับรังสีจากภายนอกคือเครื่องฉายรังสี แล้วผ่านร่างกายตรงเข้าไปยังบริเวณที่เป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถฉายไปยังบริเวณเต้านมหลังการผ่าตัดแบบสงวนเต้า หรือฉายไปที่ผนังทรวงอกหลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านมออกไป นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการฉายรังสีที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณไหปลาร้า หรือรักแร้ด้วย แพทย์สามารถฉายรังสีมะเร็งจากภายในร่างกาย การฉายรังสีชนิดนี้เรียกว่า brachytherapy ศัลยแพทย์จะยิงกัมมันตภาพรังสีที่พบใกล้กับบริเวณเนื้องอก และทำลายเซลล์มะเร็งเคมีบำบัด
เคมีบำบัดเป็นการใช้ยาในการทำลายเซลล์มะเร็ง แต่การรักษาประเภทนี้มักจะใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น การผ่าตัด ในบางกรณีแพทย์ต้องการให้การรักษาแบบเคมีบำบัดแก่ผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด เพื่อต้องการที่จะรักษาให้ก้อนมะเร็งหดตัวและจากนั้นจะทำการผ่าตัด เคมีบำบัดมีผลข้างเคียงมากมายดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มการรักษาการรักษาด้วยฮอร์โมน
หากมะเร็งเต้านมของมีความไวต่อฮอร์โมน แพทย์อาจเริ่มจากให้การรักษาด้วยฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง ฮอร์โมนสองตัวนี้จะสามารถกระตุ้นการเติบโตของก้อนมะเร็งเต้านม การบำบัดด้วยฮอร์โมนทำงานโดยการลดการผลิตฮอร์โมนในร่างกายหรือโดยการปิดกั้นตัวรับฮอร์โมนในเซลล์มะเร็ง การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถช่วยชะลอและยับยั้งการเติบโตของมะเร็งได้การรักษาด้วยยา
การรักษาด้วยยาเพื่อทำลายความผิดปกติหรือการกลายพันธุ์ของเซลล์มะเร็ง ตัวอย่างเช่น Herceptin (trastuzumab) สามารถป้องกันการผลิต HER2 หรือโปรตีนในร่างกาย ซึ่ง HER2 ช่วยให้เซลล์มะเร็งเต้านมเจริญเติบโตดังนั้นการทานยาเพื่อชะลอการผลิตโปรตีนนี้เพื่อช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งการรักษามะเร็งเต้านมด้วยวิธีธรรมชาติ
- การบำบัดด้วยสมุนไพร เป็นประโยชน์ในการลดอาการบวมที่เต้านมและความรู้สึกที่ไม่สบายต่ออาการที่เกิดขึ้น ด้วยสมุนไพรเช่น ใบดอกแดนดิไลอัน ยาร์โรว และ clever
- ขมิ้น เมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกในเต้านมได้ดี
- กระเทียมและหอม มีคุณสมบัติชั้นเยี่ยมที่มีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะในกระเทียมที่สามารถต่อต้านมะเร็งได้สูง ต่อต้านการนำพาสารมะเร็งที่เกิดจากสารเคมีต่างๆ ได้ ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- สมุนไพรตระกูลขิงบ้าง ขิงก็มีสาร 6-จินเจอรอลที่ออกฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและทำหน้าที่ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดีเช่นเดียวกัน
การดูแลมะเร็งเต้านม
หากคุณตรวจพบก้อนเนื้อหรือจุดที่ผิดปกติในเต้านมหรือมีอาการอื่น ๆ ของโรคมะเร็งเต้านมให้พบแพทย์โดยทันที ซึ่งบางทีอาจจะไม่ใช่มะเร็งเต้านม อาจมีสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากมายสำหรับก้อนเนื้องอก แต่หากพบว่ากลายเป็นมะเร็งโปรดทราบว่าการรักษาในระยะแรกเป็นกุญแจสำคัญ มะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกสามารถรักษาและหายขาดได้หากพบเร็วพอ มะเร็งเต้านมที่เติบโตขึ้นก็จะต้องใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกันออกไปการป้องกันในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง
ในผู้หญิงบางรายอาจมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านมที่มาจากพันธุกรรม ตัวอย่างเช่นหากแม่หรือพ่อของผู้ป่วยมีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1 หรือ BRCA2 หากมีความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของยีนส์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อปรึกษาอาการและวิธีการตรวจมะเร็งเต้านม และการป้องกัน หากรู้ว่าอยู่ในระยะใดอาจทำให้ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมระยะต่อไป ซึ่งอาจรวมไปถึงการผ่าตัดเต้านมออกปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่เพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยมีอาการเหล่าอาจเป็นสัญญาณของการเป็นมะเร็งเต้านม ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เช่นประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งเต้านม หรือผู้ป่วยอาจอยู่ในปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ได้แก่:
- อายุ: ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมอาจเพิ่มขึ้นตามอายุ มะเร็งเต้านมชนิดลุกลามส่วนใหญ่จะพบได้ผู้หญิงอายุมากกว่า 55 ปีขึ้นไป
- การดื่มสุรา: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม
- เต้านมมีเนื้อเยื่อแน่น: เนื้อเยื่อเต้านมที่แน่นจนเกินไป อาจะทำให้แมมโมแกรมอ่านยาก ส่งผลให้เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม
- เพศ :ผู้ชายอาจเป็นมะเร็งเต้านมได้แต่น้อยกว่าผู้หญิงมาก ผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้ชายถึง 100 เท่า
- ยีน: ผู้หญิงที่มีการกลายพันธ์ของยีน BRCA1 และ BRCA2 มีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้เป็น การกลายพันธุ์ของยีนอื่นอาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
- ประจำเดือนครั้งแรกมาเร็ว : ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี อาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้หญิงที่คลอดบุตรในช่วงอายุเยอะ : ผู้หญิงที่มีการคลอดบุตรครั้งแรกเมื่อมีอายุมากกว่า35 ปีขึ้นไป
- การรับประทานยาที่มีฮอร์โมน : ผู้หญิงที่รับประทานยาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนในช่วงวัยหมดประจำเดือนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อลดอาการในช่วงวัยทอง จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้า
- พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นญาติสายตรง เช่น แม่ พี่ น้องยาย น้องสาว หรือลูกสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคมะเร็งเต้านมสามารถเป็นได้ ถึงแม้ไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งเต้านม
- ผู้หญิงในช่วงวัยหมดประจำเดือนช่วงแรก หากประจำเดือนเริ่มหมดหลังจากอายุ 55 ปีขึ้นไป
- ผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ หรือผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านการคลอดบุตร มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
- ผู้หญิงที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน ในบางรายอาจเคยเป็นมะเร็งเต้านมข้างใดข้างหนึ่งมาก่อน อาจส่งผลนำไปสู่การมะเร็งเต้านมอีกข้าง หรือเซลล์มะเร็งอาจนำไปสู่บริเวณใกล้เคียงของเต้านม
การป้องกันโรคมะเร็งเต้านม
หากอยู่ในภาวะเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดูแลการใช้ชีวิตประจำวัน และควรได้รับการตรวจคัดกรองการมะเร็งอย่างเป็นประจำและควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับมาตรการการดูแลและป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม นอกจากนี้ผู้ป่วยสามารถทำการตรวจเต้านมได้ด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อพบความผิดปกติควรไปพบแพทย์ทันทีปัจจัยเสี่ยงที่มาจากการใช้ชีวิตประจำวัน
ปัจจัยด้านการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน อาจส่งผลต่อความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนมีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งเต้านม การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและออกกำลังกายให้มากขึ้นจะช่วยให้คุณลดน้ำหนักและลดความเสี่ยงได้ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินสามารถเพิ่มความเสี่ยง หากดื่มวันละ 2 แก้ว หรือมากกว่า หรือดื่มมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ วันละ 1 อย่าง ก็อาจทำให้เพิ่มความต่อการเป็นมะเร็งเต้านมการตรวจมะเร็งเต้านม
ในบางครั้งการตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเมมโมแกรมไม่สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็งได้เสมอไป การตรวผู้หญิงมีความเสี่ยงโดยเฉลี่ยสำหรับมะเร็งเต้านม มีรายละเอียดดังนี้- ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40 ถึง 49: ไม่แนะนำให้ใช้การตรวจประจำปีด้วยแมมโมแกรม หากต้องการตรวจควรรีบปรึกษาแพททย์
- ผู้หญิงอายุ 50 ถึง 74: แนะนำให้ใช้แมมโมแกรมตรวจมะเร็งเต้านมทุกปี
- ผู้หญิงอายุ 75 ปีขึ้นไป: ไม่แนะนำให้ใช้แมมแกรมตรวจมะเร็งเต้านม
- นอนราบยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ ใช้มืออีกข้างตรวจคลำทุกส่วนของเต้านมทีละข้าง
- เริ่มคลำจากส่วนนอกและเหนือสุดของเต้านม เวียนไปรอบเต้านม ค่อย ๆ เคลื่อนมือเข้ามาเป็นวงแคบ ๆ จนถึงบริเวณเต้านมให้ทั่วทุกส่วน
- บีบหัวนมเบา ๆ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้สังเกตว่ามีสิ่งผิดปกติไหลออกมาหรือไม่
คำถามที่พบบ่อย
มะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ เซลล์มะเร็งยังไม่แพร่กระจายผ่านผนังท่อเข้าไปในเนื้อเยื่อเต้านมที่อยู่ใกล้เคียง ผู้หญิงเกือบทั้งหมดที่มี DCIS สามารถรักษาให้หายได้ มะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายโดยไม่ต้องผ่าตัดได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถผ่าตัดเอามะเร็งออกได้ เรียกว่า ผ่าตัดไม่ได้ แพทย์จะแนะนำให้รักษามะเร็งด้วยวิธีอื่นต่อไป อาจให้เคมีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษาแบบมุ่งเป้า การฉายรังสี และ/หรือการรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อลดขนาดของมะเร็ง มะเร็งเต้านมระยะที่ 3 รักษาได้ไหม ด้วยการรักษาที่เข้มข้น มะเร็งเต้านมระยะที่ 3 สามารถรักษาให้หายได้ ; อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่มะเร็งจะกลับเป็นซ้ำหลังการรักษาก็มีสูง มะเร็งเต้านมควรหลีกเลี่ยงอาหารอะไรบ้าง- คาเฟอีน
- แอลกอฮอล์
- เนื้อปลาหรือสัตว์ปีกดิบหรือยังไม่สุก
- ไข่ดิบหรือไข่สุก.
- ผลิตภัณฑ์นมหรือน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
- ผักและผลไม้ที่ไม่ได้ล้าง
- ของเหลือที่มีอายุมากกว่าสามถึงสี่วัน
ลิ้งค์ด้านล่างเป็นแหล่งข้อมูลบทความของเรา
- https://www.nur.psu.ac.th/journal/file/126file%20%203436.pdf
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/breast-cancer/symptoms-causes/syc-20352470
- https://www.cdc.gov/cancer/breast/basic_info/what-is-breast-cancer.htm
- https://www.webmd.com/breast-cancer/understanding-breast-cancer-basics
- https://www.cancercenter.com/cancer-types/breast-cancer/about
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น