โรคมะเร็งผิวหนัง (Skin cancer) คือโรคที่มีลักษณะของเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบนผิวหนังและเยื่อบุ ยิ่งผิวหนังได้รับแสงแดด จะยิ่งทำให้มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ผิวหนัง และทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดหลักๆดังนี้
-
Keratinocyte carcinoma
-
Melanoma
ประเภทของมะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนัง มีอยู่ 2 ชนิดหลักๆคือ keratinocyte carcinoma และ melanoma แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะของผิวหนังที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งมีลักษณะดังนี้ อาการของผิวหนังชนิดนี้ไม่ก่อให้เป็นโรคมะเร็ง มีลักษณะสีชมพูและสีแดงเรื่อๆ หากผิวหนังมีลักษณะอาการเช่นนี้ และไม่ได้รับการรักษา อาจะนำไปสู่การก่อเชื้อมะเร็งได้ในอนาคต-
Basal cell carcinoma
-
Squamous cell carcinoma
-
Melanoma
อาการของโรคมะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนังแต่ละชนิดมีอาการไม่เหมือนกัน หากพบความผิดปกติของผิวหนัง ควรสังเกตอาการ และเข้ารับการรักษาให้ทันท่วงที เพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยผิวหนังและรักษาได้ตรงจุด อาการเริ่มต้นของโรคมะเร็งที่ควรระวังมีดังนี้- อาการที่เกิดจากร่องรอยจากโรคผิวหนังเช่น การเกิดไฝใหม่ ผิวหนังที่ได้รับบาดเจ็บ หรือผิวหนังที่เป็นสะเก็ดหรือรอยของจุดด่างดำ
- ผิวหนังที่ไม่สมดุล: เกิดจากรอยแผลที่ไม่เท่ากัน
- สี: สีผิวที่เป็นสีขาว ชมพู ดำ น้ำเงิน หรือสีแดง
- มีเส้นผ่านศูนย์กลาง: ผิวที่เป็นจุด ไฝหรือขี้แมลงวัน มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่านิ้วครึ่ง หรือขนาดประมาณของยางลบหัวดินสอ
- การพัฒนาของผิว : ผิวที่มีลักษณะเปลี่ยนไปตามลักษณะของรูปร่างและสี
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งผิวหนังมีดังนี้
- ตุ่มหรือก้อนที่เกิดขึ้นมีความขรุขระ อาจมีขุย และอาจขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแผล มีสะเก็ด เลือดออก และมีกลิ่น
- เป็นแผลเรื้อรัง แผลมีเลือดออก หรือมีสะเก็ดแผลตรงกลางคล้ายหนูแทะ
- มีผื่นแดงอักเสบ และมีอาการคัน หรือเจ็บแสบ
- มีตุ่ม นูน สีดำหรือน้ำตาล หรือเป็นสีผิวปกติได้
- มีผื่นเหมือนแผลเป็นสีขาวเหลือง ขอบไม่ชัดเจน และป็นบริเวณที่ไม่เคยมีแผลบาดเจ็บมาก่อน
- เป็นก้อนเกิดขึ้นบนผิวหนัง อาจมีสีผิวปกติ หรือแดงเล็กน้อย และมีความแข็ง
สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง
สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนังทั้ง 2 กลุ่ม เกิดจากการพัฒนาของเซลล์ DNA ในผิวหนังของผู้ป่วย หากเซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตและไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์จำนวนมากจะพัฒนาแล้วกลายพันธ์เป็นโรคมะเร็ง มะเร็งผิวหนังชนิด Basal cell skin cancer สาเหตุมาจาก จากการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ หรือจากการอาบแดด รังสี UV จะทำลาย DNA ภายในผิวโดยตรง เมื่อได้รับการทำลายจะทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตขึ้น มะเร็งผิวหนังชนิด Squamous cell สาเหตุมาจาก การได้รับสารเคมีเป็นระยะเวลานาน และทำให้ผิวบริเวณนั้นเป็นแผลไหม้หรือแผลเรื้อรัง และอาจเกิดจากเชื้อ papillomavirus (HPV) บางชนิด ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังเกิดจากอะไร เพราะผู้ป่วยบางรายที่เกิดมะเร็งผิวหนังมาจากผิวหนังที่แตกต่างกัน บางรายการเกิดจากไฝแล้วพัฒนากลายไปเป็นมะเร็งผิวหนัง ส่วนบางชนิดก็เกิดมาจากรังสี UVการวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง
หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติของผิวหนังที่น่าสงสัย หรือผิวหนังเป็นจุด และผิวหนังค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ป่วยควรรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที แพทย์จะตรวจสภาพผิวหนังของผู้ป่วย ตรวจสอบขนาด รูปร่าง สีผิวของผิวบริเวณนั้นหรืออาจนำชิ้นเนื้อบริเวณที่ผิดปกติไปตรวจในห้องแลป เพื่อให้มั่นใจว่าผิวหนังที่เป็นผิดปกติจะเกิดเป็นมะเร็งประเภทไหน และหากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็งผิวหนัง แพทย์จะรักษาตามระยะของอาการ และชนิดของมะเร็งผิวหนัง และตรวจดูสภาพผิวหนังอย่างเป็นขั้นตอนการตรวจโรคมะเร็งผิวหนัง
การตรวจเพื่อหาโรคมะเร็งผิวหนังของผู้ป่วย มีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาไม่นาน ผู้ป่วยต้องใส่ชุดคลุม ที่มีไว้สำหรับการตรวจโรคมะเร็งผิวหนัง แพทย์จะเข้ามาทำการตรวจสอบผิวหนังทุกจุด ในบริเวณผิวหนังที่เป็นไฝ หรือมีลักษณะที่เป็นจุดผิดปกติ หากแพทย์พบจุดที่คิดว่าเป็นส่วนของผิวหนังที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังระยะแรก แพทย์จะทำการตรวจสอบและหารือวิธีการรักษากับผู้ป่วย การตรวจผิวหนังที่มีลักษณะผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนังโดยเร็วที่สุด จะทำผู้ป่วยไม่กังวลต่อการรักษา เพราะหากผู้ป่วยปล่อยทิ้งไว้ และไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว อาจทำให้เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะบริเวณใกล้เคียง และทำให้รักษาเพิ่มขั้นตอนไปมากกว่าเดิม การตรวจสภาพผิวหนังที่ผิดปกติสามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวอง สังเกตดูจากตำแหน่งผิวที่ได้รับแสง UV โดยตรง เช่นศรีษะ หรือลำคอ หรือแม้แต่ผิวที่อยู่ภายใต้ร่มผ้า เช่นนิ้วเท้า หรือบริเวณขาหนีบ การตรวจสอบมะเร็งผิวหนังด้วยตัวเอง สามารถใช้เวลาอย่างน้อย 10 นาทีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
- Immunotherapy : การใช้ครีมรักษากับผิวหนังโดยตรงที่เป็นมะเร็ง
- excisional surgery: คือการผ่าตัดโดยเอาผิวบางส่วนที่เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตออกไป
- curettage and electrodessication : เป็นการใช้เครื่องมือขูดร่วมกับการจี้ไฟฟ้าขูดผิวหนังที่เป็นตุ่มเนื้อเซลล์มะเร็งออกไป
- chemotherapy: เป็นการใช้เคมีบำบัดโดยการทานยา ฉีดยา เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
- Biological Therapy การบำบัดทางชีวภาพ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยให้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
- radiation : การรักษาโดยใช้การแผ่รังสีฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรง
- cryotherapy: จี้ด้วยความเย็น โดยสารไนโตรเจนเหลวเพื่อให้เซลล์ที่มีลักษณะแข็งละลาย และหลุดออกไป
- Mohs Surgery: ผ่าตัดมะเร็งผิวหนังโดยรอบออกหมดทีละชั้น และใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูจนกว่าเซลล์มะเร็งจะหมดไป
- photodynamic therapy: การใช้แสงเลเซอร์ทำลายเซลล์มะเร็ง
- Radiation: การฉายรังสี ใช้รังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
- biological therapy : การบำบัดทางชีวภาพ เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง
- immunotherapy: การรักษาด้วยการใช้ครีม เพื่อให้ครีมต่อสู้กับภูมิคุ้มกันในการฆ่าเซลล์มะเร็ง
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนัง
ระยะของโรคมะเร็งผิวหนัง แพทย์จะดูว่าลักษณะของขนาดและสภาพผิว และตรวจสอบดูว่าเชื้อมะเร็งมีการกระจายสู่ผิวหนังเพียงใด โรคมะเร็งผิวหนังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ โรคมะเร็งผิวหนังชนิดไม่ใช่เมลาโนมา (nonmelanoma skin cancer) และโรคมะเร็งผิวหนังขะนิดเมลาโนมา (Melonoma)ระยะของมะเร็งผิวหนังชนิด Melanoma
ระยะที่ O เป็นระยะที่พบเซลล์มะเร็งได้น้อยมาก เซลล์มะเร็งที่พบจะอยู่ในผิวหนังชั้นกำพร้า ระยะที่ I เซลล์มะเร็งจะแพร่ไปยังผิวหนังชั้นถัดไปคือผิวหนังแท้และกระจายไม่ถึง 2 เซนติเมตร ระยะที่ II เซลล์มะเร็งแพร่ไปไกลเกิน 2 เซนติเมตร แต่ยังไม่กระจายเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง ระยะที่ III เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปสู่กระดูกชั้นปฐมภูมิ และเข้าไปยังเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง มีขนาดใหญ่เกินกว่า 3 เซนติเมตร ระยะที่ IV เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปสู่กระดูกชั้นปฐมภูมิ และเข้าต่อมน้ำเหลือง กระดูก มีขนาดใหญ่เกินกว่า 3 เซนติเมตรระยะของมะเร็วผิวหนัง ชนิด Nonmelanoma
ระยะที่ O เซลล์มะเร็งยังอยู่เฉพาะในผิวหนังชั้นกำพร้าเท่านั้น ระยะที่ I เซลล์มะเร็งกระจายไปสู่ผิวหนังชั้นที่สอง แต่ยังมีขนาดเล็ก ระยะที่ II เซลล์มะเร็งยังไม่ได้กระจาย แต่มีขนาดใหญ่แผ่ใหญ่เป็นวงกว้างขึ้น หนาขึ้น แต่อาจมีอาการอื่นๆ เช่นการปรับเปลี่ยนของเม็ดเลือด หรือเป็นสะเก็ด ระยะที่ III เซลล์มะเร็งจะกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรือแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อผิวหนังของบริเวณใกล้เคีย ระยะ IV เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจ่ายเข้าต่อมน้ำเหลืองไกลๆ ที่ห่างจากจุดเริ่มต้น เมื่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นอีกหลังจากได้รับการรักษาแล้ว อาการเหล่านี้เรียกว่า มะเร็งผิวหนังกำเริบ หากแพทย์วินิจฉัยอาการแล้วจะต้องรักษาเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่ออาการมะเร็งผิวหนังกำเนิด ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดการป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง
การป้องโรคมะเร็งผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวได้รับแสงแดด หรือรังสี UV เป็นระยะเวลานานติดต่อกัน ยกตัวอย่างเช่น- การปล่อยให้ผิวอยู่ใกล้โคมไฟเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง ตั้งแต่ช่วงเวลา 10.00 น. (เช้า) ไปจนถึง 16.00 น. (เย็น) ควรอยู่ในที่ร่มในช่วงเวลาดังกล่าว
- ควรทาครีมหรือโลชั่นที่มีสารป้องกันแสงแดด หรือลิปบาล์มเป็นประจำ ครีมที่ใช้ควรสารป้องกันแสงแดดไม่ต่ำกว่าหรือสูงกว่า SPF อย่างน้อย 30 นาที ก่อนได้รับแสงแดด
- ควรสวมหมวกบังแดดที่มีลักษณะใหญ่ หากจำเป็นต้องเผชิญในที่ที่อยู่ท่ามกลางแสงแดด ในช่วงเวลากลางวัน
- ควรสวมแว่นกันแดดที่สามารถป้องกันรังสี UVA และ UVB ได้ 100%
มะเร็งผิวหนังชนิด Nonmelanoma
โรคมะเร็งผิวหนังชนิด Nonmelanoma รวมอยู่ในมะเร็งชนิดเหล่านี้ร่วมด้วย- angiosarcoma
- Basal cell carcinoma
- cutaneous B-cell lymphoma
- cutaneous T-cell lymphoma
- dermatofibrosarcoma protuberans
- merkel cell carcinoma
- sebaceous carcinoma
- squamous cell carcinoma
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง หากอยู่ในสภาวะเสี่ยงดังนี้- คนในครอบครัวมีประวัติการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
- สัมผัสกับสารเคมีโดยตรง เช่น สารหนู สารเรเดียม สารที่สำหรับทาไม้
- ได้รับรังสีระหว่างการรักษาโรคผิวหนัง เช่นโรคสิว หรือโรคกลาก
- ได้รับสาร UV มากเกินไป จากแสงแดด โคมไฟ หรือจากแหล่งอื่นๆ
- อยู่ในที่ที่มีแสงแดดบ่อยเกินไป
- ทำงานกลางแจ้ง
- เคยมีประวัติการถูกแดดเผาอย่างรุนแรง
- มีไฝบนร่างกายหรือมีไฝเม็ดใหญ่ผิดปกติ
- มีผมสีบลอนด์หรือผมสีแดงตามธรรมชาติ
- มีตาสีฟ้าหรือสีเขียว
- มีผิวซีด หรือมีตกกระ
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV
- ผู้ป่วยที่เคยรับการปลูกถ่ายอวัยวะ และใช้รักษาภูมิคุ้มกัน
ประเภทของแพทย์ที่รักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง การรักษาควรได้รับการรักษาจากทีมแพทย์ดังนี้- แพทย์รักษาโรคผิวหนัง
- ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งโดยใช้วิธีผ่าตัด
- นักรังสีวิทยา ที่รักษาโรคมะเร็งโดยการใช้รังสี
- ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่รักษาโรคมะเร็งโดยใช้ยา
- พยาบาล
- พยาบาลเวชปฏิบัติ
- ผู้ช่วยแพทย์
- นักสังคมสงเคราะห์
- ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
- เซลล์มะเร็งย้อนกลับมา หลักจากได้รับการรักษา
- การเกิดเซลล์มะเร็งในพื้นที่เดิม และแพร่กระจายไปยังบริเวณโดยรอบ
- เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังกล้ามเนื้อเส้นประสาท หรือบริเวณอวัยวะส่วนอื่น ๆ
ลิ้งค์ด้านล่างนี้เป็นแหล่งข้อมูลของบทความของเรา
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น