ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนกระทั่งสัปดาห์หลังการคลอด ฮอร์โมนผู้หญิงในร่างกายของคุณจะเหวี่ยง  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณเมื่อคุณมีลูก  ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการตั้งครรภ์ ผู้เขียนต้องพบเจอกับความไม่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่เธอตั้งครรภ์ คุณแม่จากแวนคูเวอร์ต้องเผชิญกับความวิตกกังวล และอารมณ์ที่เหวี่ยงที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน “ความวิตกกังวลของฉันพุ่งขึ้นอย่างมาก” เธอกล่าว มีบางครั้งที่เธอไม่สามารถลงจากรถที่จะพาหมาไปเดินเล่นได้ เพราะความรู้สึกของเธอมันตีกันไปหมด เธอยังมีอาการคลื่นไส้ทั้งวัน อาการเหล่านั้นลดลงไป เมื่อเธอเข้าสู่การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 5  Schwartz ยังมีอาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการปวดหลังที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเลย  “มันเจ็บปวดมาก ๆ”  เธอกล่าว “ตอนกลางคืนฉันนอน และคร่ำครวญบนเตียง” อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นเหมือนมันจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ทั้งหมด การตั้งครรภ์นั้นส่งผลต่อต่อร่างกายเพราะฮอร์โมนทำงานเพื่อสร้างมนุษย์อีกคน  อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: เจ็บท้องคลอดได้ที่นี่ ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่สำคัญเพื่อรองรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ ฮอร์โมนสำคัญหลายชนิดมีบทบาทสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์:
  • Human Chorionic Gonadotropin (hCG) : ฮอร์โมนนี้ผลิตโดยรกไม่นานหลังจากการฝังเกิดขึ้น ช่วยรักษา Corpus luteum ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในระยะแรกของการตั้งครรภ์ เอชซีจียังเป็นฮอร์โมนที่ตรวจพบโดยการทดสอบการตั้งครรภ์
  • โปรเจสเตอโรน : ฮอร์โมนนี้จำเป็นต่อการรักษาเยื่อบุมดลูกและป้องกันการหดตัวที่อาจนำไปสู่การแท้งบุตร ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างตั้งครรภ์และมีบทบาทสำคัญในการเตรียมร่างกายสำหรับการคลอดบุตร
  • เอสโตรเจน : ระดับเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของมดลูก รก และหน้าอก เอสโตรเจนยังช่วยควบคุมฮอร์โมนอื่นๆ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาทารกในครรภ์
  • Human Placental Lactogen (hPL) : หรือที่เรียกว่า Human chorionic somatomammotropin (hCS) ฮอร์โมนนี้ผลิตโดยรกและช่วยควบคุมการเผาผลาญของมารดาเพื่อให้แน่ใจว่าทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  • ออกซิโตซิน : มักเรียกกันว่า “ฮอร์โมนความรัก” ออกซิโตซินมีบทบาทในการหดตัวของมดลูกระหว่างการคลอดและการคลอดบุตร อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำนมระหว่างให้นมบุตร
  • โปรแลคติน : ระดับโปรแลคตินจะเพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หลังคลอดบุตร ระดับโปรแลคตินจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำนม
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเหล่านี้ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดและจำเป็นสำหรับการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความไม่สมดุลหรือการหยุดชะงักของระดับฮอร์โมนอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือการคลอดก่อนกำหนด เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่จะต้องได้รับการดูแลก่อนคลอดเป็นประจำเพื่อติดตามระดับฮอร์โมนและรับประกันสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งแม่และทารก

ฮอร์โมนในช่วงไตรมาสแรก 

อาการในไตรมาสแรกนั้นจะโดดเด่นเป็นอย่างมาก เพราะร่างกายกำลังสร้างตัวอ่อน ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนไปเพื่อปกป้องตัวอ่อน และระบบไหลเวียนเลือดของคุณเต็มไปด้วยการหลั่งฮอร์โมน เมื่อคุณตั้งครรภ์ครั้งแรก ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน เอสโตรเจน และฮอร์โมนที่สำคัญในการตั้งครรภ์ เรียกว่าฮอร์โมน HCG ได้เริ่มถูกสร้างขึ้น โปรเจสเตอโรน มีความสำคัญในการตั้งครรภ์ในช่วงแรก เพราะทำหน้าที่เตรียมเยื่อยุโพรงมดลูกเพื่อให้ไข่ฝัง และทำหน้าที่เหมือนกับยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้มดลูกหดตัวจดกว่าจะคลอด แต่การทำหน้าเหมือนกับยาคลายกล้ามเนื้อนี้จะทำให้เกิดอาการท้องผูกเช่นกัน มันจะไปทำให้ทางเดินอาหารทำงานช้าลง แพทย์ทางธรรมชาติวิทยา Kinga Babicki-Farrugia กล่าว  ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนจะทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด เช่นเดียวกับตอนที่มีรอบเดือน และระดับฮอร์โมนจะสูงในช่วงตั้งครรภ์ทำให้มีอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ คือ อารมณ์ฉุนเฉียว  อารมณ์ที่ฉุนเฉียวของ Schwartz ถูกกระตุ้นในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เธอจะโมโห 1 นาที และจากนั้นก็เสียใจ ขณะเดียวกันฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยในการควบคุมฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนขณะที่รักษาเยื่อยุโพรงมดลูกที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก  ฮอร์โมนเอสโทรเจนจะช่วยในการเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ที่สำคัญต่อสารอาหารสำหรับเด็กในท้อง แต่การที่ไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นนั้นก็มีผลข้างเคียงคือทำให้เจ็บหน้าอก และไวต่อความรู้สึก การเพิ่มขึ้นของการไหลเวียนของเลือดนั้นจะทำให้เกิดอาการจมูกตัน ผู้หญิงหลายคนที่ตั้งครรภ์จะเจอกับอาการนี้  โดยจะทำให้เยื่อบุในโพรงจมูกบวม และการเพิ่มขึ้นของการไหลเวียนเลือดนั้นทำให้ต้องการเข้าห้องน้ำมากขึ้น เมื่อไตคุณของคุณมีของเหลวเพิ่มขึ้น และมดลูกก็จะไปกดดันกระเพาะปัสสาวะของคุณ คุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ ประโยชน์อย่างนึงที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของการไหลเวียนของเลือดนั้นคือผิวพรรณในช่วงตั้งครรภ์ของคุณนั้นกระจ่างใส ฮอร์โมน hCG หรือที่รู้จักดีว่าเป็นฮอร์โมนของคนตั้งครรภ์ เพราะฮอร์โมนนี้จะสร้างขึ้นเฉพาะตอนตั้งครรภ์  การตรวจการการตั้งครรภ์แล้วที่ตรวจขึ้นว่าตั้งครรภ์ เมื่อตรวจพบฮอร์โมนตัวนี้อยู่ในปัสสาวะ เมื่อคุณตั้งครรภ์ระดับของฮอร์โมน hCG จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และจะเพิ่มขึ้นในทุก ๆ สองสัปดาห์ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นในระดับสูงสุดในช่วง 8 ถึง 11 สัปดาห์แรก ฮอร์โมนตัวนี้สำคัญมากเพราะระดับของฮอร์โมนที่วัดได้จะบอกถึงรกที่กำลังถูกสร้าง แต่ก็ทำให้คุณคลื่นไส้ด้วยเช่นกัน  ทดสอบการตั้งครรภ์อย่างไร อ่านต่อได้ที่นี่ ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ว่าอะไรที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง ฮอร์โมน hCG นั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง “ฉันบอกคนไข้ของฉันตลอดว่าอาการแพ้ท้องที่รู้สึกนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่บ่งบอกว่าการฝังตัวของไข่และรกนั้นทำงาน”  Wilson กล่าว ถ้าคุณตั้งครรภ์แฝดหรือแฝดสาม คุณจะประสบกับอาการคลื่นไส้ เพราะระดับ ฮอร์โมน hCG จำนวนมากนั้นถูกสร้างในร่างกายของคุณ คุณอาจจะมีกลิ่นตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับระบฮอร์โมน hCG ที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ฮอร์โมน  hCG ช่วงสัปดาห์ที่ 8-11 หญิงตั้งครรภ์บางคน (อาจจะไม่ทั้งหมด) จะรู้สึกว่าอาการแพ้ท้องนั้นบรรเทาลง เมื่อพวกหล่อนเริ่มเข้าสู่ไตรมาสที่ 2  คุณอาจจะไม่คิดว่าไทรอยด์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ แต่เมื่อคุณตั้งครรภ์แล้วนั้นฮอร์โมนตัวนี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ฮอร์โมนไทรอยด์จะมีช่วยในการเผาผลาญในทุกเซลล์ของร่างกายของคุณ  เมื่อคุณตั้งครรภ์ฮอร์ไทรอยด์จะเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับพัฒนาทางด้านประสาท และกระดูกของทารก  ฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์ หรือฮอร์โมน TSH ถูกสร้างที่ต่อมใต้สมอง และช่วยควบคุมฮอร์โมนไทรอยด์ที่สำคัญอื่น ๆ  การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน hCG และฮอร์โมนเอสโทรเจนนั้นไปกระตุ้นให้ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์แฝดสองและแฝดสาม “มันเป็นกลไกป้องกัน” Halperin กล่าว ต้องแน่ใจว่าทารกนั้นได้รับฮอร์โมนไทรอยด์พอต่อความต้องการ หมอจะวัดระดับฮอร์โมนไทรอยด์ผ่านเลือดในช่วงไตรมาสแรก และจะตรวจเช็คอีกครั้งทุก ๆ 4 ถึง 6 สัปดาห์ถ้าตรวจพบว่าฮอร์โมนไทรอยด์นั้นมีปัญหาหรือไม่ปกติในการตรวจครั้งแรก ถ้ามีบางอย่างผิดปกติแพทย์จะส่งต่อคุณไปยังแพทย์ด้านต่อมไร้ต่อเพื่อทำการประเมินต่อไป pregnancy hormones

ฮอร์โมนในช่วงไตรมาสที่ 2 

ไตรมาสที่ 2 นั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเป็น “ช่วงที่ดีที่สุด” เพราะในช่วง 13 สัปดาห์ ผู้หญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ คนรู้สึกว่าได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง อาการคลื่นไส้จะค่อย ๆ ลดลง แต่คุณอาจจะสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ  อีกอย่างนึงเลยคือ กล้ามเนื้อ และกระดูกข้อต่อจะรู้สึกตึง หรือรู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะกระดูกเชิงกราน เช่น มดลูก และปากมดลูกและทำหน้าที่ให้การเจริญเติบโตของรก  ขณะที่ช่วยให้เล่นโยคะได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อาจจะทำให้เกิดอาการเจ็บหรือปวดเอ็น หรือทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย  จากประสบการณ์ของ Schwartze ที่ปวดหลังอย่างหนักที่สะโพกข้างขวา และกระดูกเชิงกรานของเธอในช่วงไตรมาสที่ 2 ต้องขอบคุณฮอร์โมนตัวนี้ “ฉันไม่สามารถเดินได้เลยจริง ๆ” เธอกล่าว “ฉันขับรถกลับจากทำงาน และฉันก็ไม่สามารถลงจากรถได้ ต้องนั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง” อาการเหล่านี้ไม่หายจนกระทั่งเธอคลอด  ในช่วงไตรมาสที่ 2 ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรน และเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อการเจริญเติบโตของทารก แต่ฮอร์โมนเหล่านี้ไปกระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ของผิวหนังให้สร้างเมลานิน ที่ทำให้สีผิวของคุณเปลี่ยนแปลง หรืออีกอย่าง คือ การเกิดฝ้า ที่จะทำให้เกิดจุดสีน้ำตาล หรือเทาบนใบหน้าของคุณ คุณอาจจะสังเกตได้ถึงรอยตามหน้าท้อง หรือเรียกว่าลายเส้นดำกลางท้อง หัวนมของคุณคล้ำขึ้น  พร้อมด้วยกับการสร้างไฝและกระเพิ่มขึ้น แต่โชคดีที่อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากคลอด และผมของคุณก็จะยาวเร็วขึ้นในช่วงไตรมาสนี้เพราะผลจากฮอร์โมนเอสโตรเจน   อ่านเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ช่วงไตรมาสแรก ได้ที่นี่ คอร์ติอซอก็เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ คุณอาจได้ยินเกี่ยวกับฮอร์โมนความเครียดนี้ มันก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมดหรอก มันสำคัญต่อการพัฒนาตัวอ่อนเพราะจะช่วยคุมการเผาผลาญ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอร์ติซอที่สูงอาจจะทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น รอยแตกลาย ปัญหาความดันโลหิต และอาจจะมีรอยแดงที่หน้า และแก้ม  ฮอร์โมน HPL เป็นฮอร์โมนจากรก ที่ช่วยการเจริญเติบโตของทารก เป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับอินซูลินในระหว่างตั้งครรภ์ หรือภาวะเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้พัฒนาการของเด็กในไตรมาสที่สองนั้นโตเกินเกณฑ์ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำปฏิกิริยาต่ออินซูลินทำให้คุณรู้ถึงวิวัฒนาการได้ Halperin กล่าวว่า “เป็นเวลาที่ตัวอ่อนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามีผู้หญิงตั้งครรภ์ที่กินยังไงก็ไม่พอ ทำให้ดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นอาหารหลักสำหรับการเจริญเติบโตของตัวอ่อน และจะผ่านไปทางรก” เธอกล่าว 

ฮอร์โมนในไตรมาสที่ 3 

ลูกน้อยของคุณเริ่มที่จะรับน้ำหนักในช่วงไตรมาสนี้ และร่างกายของคุณก็เพิ่มฮอร์โมนบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้หลังคลอด ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงสุดประมาณ 32 สัปดาห์ และระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนของคุณจะสูงที่สุดในช่วงไตรมาสนี้ ซึ่งสูงกว่าก่อนตั้งครรภ์ถึง 6 เท่า Babicki-Farrugia กล่าวว่า ในไตรมาสนี้ คุณอาจสังเกตเห็นอาการบวมมากมายบริเวณข้อเท้าและเท้า แม้ว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับระบบน้ำเหลือง แต่เอสโตรเจนอาจมีบทบาทเพราะมันเกี่ยวข้องทางอ้อมในการสังเคราะห์ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการกักเก็บเกลือและน้ำ  ในช่วงตั้งครรภ์ อาจจะมีอาการกรดไหลย้อน และอาการเสียดท้องได้ เพราะฮอร์โมนโปรเจนเตอโรนทำให้กล้ามเนื้อหูรูดอาหารคลายตัว ทำให้กรด และอาหารที่ทานไปย้อนกลับขึ้นมา ขณะเดียวกันยาคลายกล้ามเนื้อก็ช่วยในการคลายกล้ามเนื้อในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ก่อนการคลอด  Schwartz ก็มีอาการกรดไหลย้อน “ฉันทานยาลดกรด” เธอกล่าว เธอยังมีอาการเท้าบวมจนไม่สามารถใส่รองเท้าปกติได้ โปรแลคติน ฮอร์โมนที่พัฒนาเนื่อเยื่อเต้านมเพื่อเตรียมในการให้นมบุตร จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 โปรแลคตินจะเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วงหลังจากการตั้งครรภ์ แม้ว่าร่างกายจะยังไม่ผลิตน้ำนมจนกว่าฮอร์โมนโปรเจสเตอโน และเอสโตเจนจะหมดไปหลังจากการคลอด แต่ร่างกายจะเริ่มเตรียมน้ำนมและน้ำเหลืองซึ่งเป็นนมอย่างแรกที่คุณผลิตตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ น้ำนมอาจจะไหลก่อนที่ทารกจะคลอด  แพทย์ไม่ทราบแน่ชัดว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการคลอด  แต่คาดว่าน่าจะเป็นอะไรที่ซับซ้อน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน ออกซิโทซิน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่ลดลง ในความเป็นจริง หากคุณจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น แพทย์ของคุณอาจให้ออกซิโทซินสังเคราะห์ ยาที่เรียกว่าพิโทซิน ออกซิโทซิน ยังก่อให้เกิดการหดตัวที่ร่างกายต้องการเพื่อขจัดรกหลังคลอด ออกซิโตซิน และเอสโตรเจนช่วยปล่อยพรอสตาแกลนดิน ซึ่งอาจทำให้ปากมดลูกอ่อนตัวเพื่อเตรียมคลอด และคลายตัวเพื่อคลายเอ็นและทำให้ปากมดลูกนิ่มลง และเปิดปากมดลูกได้

ฮอร์โมนหลังคลอด 

หลังจากที่คุณคลอดบุตร เอ็นโดรฟินของคุณ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้คุณรู้สึกสบายซึ่งช่วยจัดการกับความเจ็บปวด จะทำงานสูงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง “ผู้หญิงส่วนใหญ่รู้สึกเหนือมนุษย์—คุณเพิ่งคลอดคนตัวเล็กที่น่าทึ่งคนนี้ออกมา” Babicki-Farrugia กล่าว แต่ในวันที่สาม และสี่ ฮอร์โมนของคุณเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้น หลังจากที่ร่างกายของคุณปล่อยรก ฮอร์โมนทั้งหมดที่ผลิต เช่น เอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน รีแล็กติน hCG และ HPL ไปกับมัน Wilson อธิบาย เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมาจนกว่าคุณจะเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ผู้หญิงหลายคนเริ่มรู้สึกถึงอาการเศร้าหลังคลอด คุณมีแนวโน้มที่จะอดนอน การอดนอนเชื่อมโยงกับคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดอย่างชัดเจน ดังนั้นมันจึงส่งผลต่อความรู้สึกของคุณด้วยเช่นกัน Halperin กล่าว แต่หวังว่าคุณจะมีออกซิโทซินไหลผ่านระบบของคุณเพื่อช่วยในเรื่องอาการเศร้าหลังคลอด อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้ที่นี่ 8% ของผู้หญิงใน แคนาดา ภาวะเศร้าหลังคลอดจะกลายเป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอด Schwartz เผชิญกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดหลังเธอให้กำเนิดลูกชายของเธอ และอยู่กับมันอย่างยากลำบากในช่วง 2 ปี หลังจากนั้นไม่กี่เดือนอาการของเธอไม่ดีขึ้น หมอจึงให้ยาต้านซึมเศร้าเพื่อช่วยในร่างกายของเธอกลับมาปกติ แต่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังคอลดนั้นไม่ได้เลวร้าย เมื่อลูกเริ่มดูดนม โปรแลคตินจะเพิ่มขึ้น และไปกระตุ้นการสร้างน้ำนม เป็นวงจรที่สำคัญเมื่อคุณสร้างน้ำนม ระดับโปรแลคตินจะเพิ่มขึ้นในช่วงกลางคืน ถ้ามีการกินอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางคืน จะช่วยในการสร้างน้ำนม  การให้นมจากเต้า การสัมผัสกัน สามารถสร้างแรงกระตุ้นให้ปล่อยออกซิโทซิน หรือบางทีเรียกฮอร์โมนความรัก เพราะจะช่วยตอบสนองการสัมผัสที่ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ ออกซิโทซินช่วยให้น้ำนมไหลตอนที่ให้นม แต่บางครั้งฮอร์โมนก็ไปกระตุ้นการหดตัวของมดลูก อาจจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยในระหว่างการให้นมประมาณสองสัปดาห์หลังคลอด  ผู้หญิงส่วนใหญ่จะกลับมาเป็นปกติ หรือปกติมากกว่าเดิม เมื่อรอบเดือนของคุณกลับมา อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี และระดับฮอร์โมนก็จะยังไม่คงที่จนกว่าลูกหย่านม หลังจากทานยาต้านซึมเศร้า 6 สัปดาห์  Schwartz รู้สึกว่าเธอกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ในช่วงที่ตั้งครรภ์นั้นเป็นอะไรที่ท้าทายมาก เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เธอหยุดยา และใช้เวลากับลูกชายของเธอที่ตอนนี้อายุ 2 ปี
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด