ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
ยาอีน็อกซาพาริน
ยาอีน็อกซาพาริน (Enoxaparin) เป็นสารกันเลือดแข็งที่ช่วยป้องกันการก่อตัวของลิ่มเลือด ยาอีน็อกซาพารินใช้รักษาหรือป้องกันลิ่มเลือดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Deep vein thrombosis (DVT) ซึ่งอาจทำให้เลือดอุดตันในปอด (Pulmonary embolism) DVT สามารถเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัดบางประเภท หรือในผู้ที่ต้องอยู่บนเตียงเนื่องจากการเจ็บป่วยเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยาอีน็อกซาพารินยังใช้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนของหลอดเลือดในผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบบางชนิด หรือหัวใจวาย

คำเตือนในการใช้ยาอีน็อกซาพาริน

ยาอีน็อกซาพารินอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดที่ร้ายแรงรอบ ๆ ไขสันหลังหากได้รับการเคาะไขสันหลัง หรือได้รับการดมยาสลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีข้อบกพร่องทางพันธุกรรมของกระดูกสันหลัง ประวัติของการผ่าตัดกระดูกสันหลัง หรือกรีดกระดูกสันหลังซ้ำ หรือหากคุณกำลังใช้ยาอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งทินเนอร์เลือดหรือ NSAIDs (Ibuprofen, Advil, Aleve และอื่นๆ) ลิ่มเลือดชนิดนี้สามารถนำไปสู่อัมพาตระยะยาว หรือถาวรได้ หากมีอาการของลิ่มเลือดจากไขสันหลัง เช่น ปวดหลัง ชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงในร่างกายส่วนล่าง หรือสูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ ควรไปพบแพทย์โดยด่วน

ก่อนใช้ยาอีน็อกซาพาริน

ไม่ควรใช้อีนอกซาพารินหากมีอาการแพ้อีนอกซาพาริน เฮปาริน เบนซิลแอลกอฮอล์ หรือหากมีอาการเลือดออกที่ไม่สามารถควบคุมได้ ควรแจ้งแพทย์ และเภสัชกรให้ทราบถึงประวัติการแพ้ยา รวมทั้งประวัติการรักษา ยาอีน็อกซาพารินอาจทำให้คุณตกเลือดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมี
  • ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับเลือดออกที่คุมไม่ได้
  • โรคหลอดเลือดสมองตีบ
  • การติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจของคุณ
  • เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้
  • การผ่าตัดสมอง กระดูกสันหลัง หรือตาล่าสุด
ยาอีน็อกซาพารินอาจทำให้เกิดลิ่มเลือดที่ร้ายแรงรอบ ๆ ไขสันหลังของคุณ หากได้รับการเคาะไขสันหลังหรือได้รับการดมยาสลบ ลิ่มเลือดชนิดนี้อาจทำให้เกิดอัมพาตในระยะยาว หรือถาวร และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อ
  • ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
  • ใส่สายสวนกระดูกสันหลังหรือเพิ่งถอด
  • ประวัติการผ่าตัดกระดูกสันหลังหรือไขสันหลังซ้ำ
  • ได้รับการเคาะไขสันหลัง
  • ใช้ยาแอสไพรินหรือ NSAID (ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์) 
  • ใช้ทินเนอร์เลือด (วาร์ฟาริน และคูมาดิน) หรือยาอื่นๆ เพื่อรักษาหรือป้องกันลิ่มเลือด
และอย่าลืมที่จะแจ้งแพทย์ถึงสุขภาพ หากมีปัญหาต่อไปนี้
  • โรคเลือดออก เช่น ฮีโมฟีเลีย
  • โรคไตหรือตับ
  • ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • ปัญหาสายตาที่เกิดจากโรคเบาหวาน
  • แผลในกระเพาะอาหาร
  • เกล็ดเลือดต่ำหลังจากได้รับเฮปาริน
  • กำลังตั้งครรภ์หรือให้น้ำนมบุตร
เรื่องน่ารู้กับโรคสมองที่เกิดจากโรคตับ enoxaparin

การใช้ยาอีน็อกซาพาริน

ยาอีน็อกซาพารินควรใช้ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด ยาอีน็อกซาพารินจะถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง หรือฉีดเข้าเส้นเลือดตามคำแนะนำของแพทย์ โปรดอย่าใช้ยาอีน็อกซาพารินหากไม่เข้าใจวิธีใช้ ดังนั้นหากมีข้อสงสัยโปรดซักถามแพทย์จนเกิดความเข้าใจก่อนใช้ยาอีน็อกซาพาริน ควรนั่งหรือนอนราบในระหว่างการฉีดยา ห้ามฉีดอีนอกซาพารินเข้าไปในกล้ามเนื้อ และฉีดในตำแหน่งที่แพทย์ระบุ ไปพบแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามผลการตรวจสอบ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ผลข้างเคียงของการใช้ยาอีน็อกซาพาริน

ควรไปพบแพทย์โดยฉุกเฉินเมื่อมีอาการแพ้ยาต่อไปนี้
  • ลมพิษ
  • คันหรือแสบผิว
  • หายใจลำบาก
  • อาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
  • อาการของลิ่มเลือดในไขสันหลัง
    • ปวดหลัง 
    • ชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงในร่างกายส่วนล่าง
    • สูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้
  • เลือดออกผิดปกติ หรือมีเลือดออกที่ไม่หยุด
  • มีรอยช้ำสีม่วงหรือแดงใต้ผิวหนังได้ง่าย
  • เลือดกำเดาไหล
  • เลือดออกตามไรฟัน
  • เลือดออกทางช่องคลอด
  • เลือดในปัสสาวะ หรืออุจจาระ
  • อาเจียนเป็นเลือด หรือกากกาแฟ
  • สัญญาณของการมีเลือดออกในสมอง
    • อ่อนแรงด้านใดด้านหนึ่ง
    • ปวดศีรษะรุนแรงกะทันหัน
    • พูดลำบาก
    • มองเห็นไม่ชัดเจน ตาพร่ามัว
  • เซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ (โลหิตจาง)
    • ผิวซีด 
    • เหนื่อยล้าผิดปกติ 
    • รู้สึกอ่อนเพลีย
    • หายใจไม่ออก 
    • มือ และเท้าเย็น
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยได้แก่ นี่เป็นเพียงผลข้างเคียงบางประการของการใช้ยาอีน็อกซาพาริน ดังนั้นหากเกิดความผิดปกติอื่นๆ หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาอีน็อกซาพาริน โปรดแจ้งแพทย์ เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย โรคตับโตกับอาการที่ควรสังเกต
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด