ผายลมคืออะไร
ผายลม หรือที่รู้จักกันดีว่า ตด คือการปล่อยลม หรือมีแก๊ส การผายลม คือ คำใช้เรียกการปล่อยแก๊สจากระบบย่อยอาหารผ่านทางทวารหนัก เกิดขึ้นเมื่อมีแก๊สสะสมอยู่ภายในระบบย่อยอาหาร และจัดเป็นกระบวนการตามปกติของร่างกาย การสะสมของแก๊สเกิดได้สองทาง ทางแรกคือการกลืนเอาอากาศเข้าในในขณะรับประทานอาหารหรือดื่ม เป็นสาเหตุทำให้ออกซิเจนและไนโตรเจนไปสะสมอยู่ในทางเดินอาหาร ทางที่สองคือแก๊สที่เกิดขึ้นจากการย่อยอาหาร แก๊สจากการย่อยเช่นไฮโรเจน มีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์เกิดการสะสมขึ้น ซึ่งทั้งสองวิธีนี้เป็นสาเหตุของการผายลมทั้งสองวิธีสาเหตุของการผายลมคืออะไร
การผายลมถือเป็นเรื่องปกติมากๆ เราทุกคนล้วนมีการสะสมแก๊สในระบบย่อยอาหารกันทุกคน คนส่วนใหญ่มักปล่อยแก็สราว 10 ครั้งต่อวัน หากคุณผายลมบ่อยเกินกว่าจำนวนพื้นฐานนี้ คุณอาจตดบ่อยเกินไปซึ่งก็มีสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นการกลืนอากาศ
เป็นเรื่องธรรมชาติที่จะมีการกลืนเอาอากาศเข้าไปได้ตลอดทั้งวัน ปกติมักมาในระหว่างการรับประทานอาหารหรือดื่ม ปกติจะเป็นการกลืนอากาศจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากคุณมีการกลืนเอาอากาศเข้าไปบ่อยกว่าคนอื่น คุณอาจพบว่าคุณอาจตดมากกว่าคนอื่นด้วย และอาจเป็นสาเหตุของการเรอ อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติม ทำไมเราถึงเรอ เหตุผลที่อาจทำให้คุณกลืนเอาอากาศเข้าไปมากกว่าปกติคือ:- การเคี้ยวหมากฝรั่ง
- การสูบบุหรี่
- การดูดสิ่งของเช่นหัวปากกา
- ดื่มน้ำโซดา
- รับประทานอาหารเร็วเกินไป
โภชนาการ
อาหารที่รับประทานบางชนิดอาจทำให้เกิดการผายลมมากเกินไปได้ อาหารบางชนิดอาจไปเพิ่มแก๊สได้เช่น:- ถั่วต่างๆ
- กระหล่ำปลี
- บล็อคโคลี่
- ลูกเกด
- เลนทิล
- ลูกพรุน
- แอปเปิ้ล
- อาหารที่มฟรุกโตสหรือซอร์บิทอลสูง เช่น น้ำผลไม้
สาเหตุของการผายลม และภาวะแทรกซ้อน
หากอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปไม่มีคาร์โบไฮเดรต หรือน้ำตาลในปริมาณมาก และคุณไม่ได้กลืนเอาอากาศเข้าไปมากจนเกินไป การตดบ่อยมากเกินไปอาจเกิดเพราะโรคบางอย่าง โรคบางอย่างที่ทำให้เกิดการผายลมนั้นกว้างมากนับตั้งแต่โรคที่เกิดขึ้นชั่วคราวไปจนถึงปัญหาของระบบย่อยอาหาร โรคบางชนิดนั้นรวมไปถึง:- ท้องผูก
- โรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
- โรคภูมิแพ้อาหารแฝง เช่น การแพ้น้ำตาลแลคโตส
- โรคลำไส้แปรปรวน
- โรคโครห์น
- โรคซีลิแอค
- โรคเบาหวาน
- การรับประทานมีปัญหา
- โรคลำไส้อักเสบ
- ภาวะที่อาหารผ่านกระเพาะอย่างรวดเร็วเข้าสู่ลำไส้
- โรคกรดไหลย้อน
- ตับอ่อนอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตนเอง
- แผลในกระเพาะอาหาร
Flatulence” width=”300″ height=”183″ />
ทางเลือกในการรักษาและการดูแลตนเองที่บ้านสำหรับการผายลมคืออะไร
มีหลายวิธีในการรักษาการตดทั้งวัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา การรักษาการผายลมที่บ้านสามารถทำได้ดังต่อไปนี้:- ลองดูอาหารที่รัประทาน หาพบว่ามีปริมาณคาร์โบไฮเดรตจำนวนมากซึ่งยากต่อการย่อย ให้ลองเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนด้วยคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นมี่ง่ายต่อการย่อยมากกว่า เช่น มันฝรั่ง ข้าวและกล้วย ก็เป็นการทดแทนที่ดี
- จดบันทึกอาหารที่รับประทานไว้ เพื่อช่วยระบุอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หลังจากที่ระบุอาหารที่เป็นสาเหตึของการทำให้เกิดการผายลมมากเกินไปได้แล้ว คุณควรพยายามหลีกเลี่ยงหรือรับประทานให้น้อยลง
- รับประทานทีละน้อย ลองทานอาหารโดยแบ่งเป็นห้าหรือหกมื้อย่อยๆต่อวันแทนการทานวันละสามมื้อใหญ่ๆเพื่อช่วยในกระบวนการย่อย
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียด หลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่อาจเป็นการเพิ่มปริมาณอากาศที่กลืนเข้าร่างกาย รวมไปถึงการเคี้ยวอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือสูบบุหรี่
- ออกกำลังกาย ในบางคนพบว่าการออกกำลังกายสามารถช่วยเรื่องการย่อยได้และสามารถป้องกันการตดบ่อยได้ด้วย
- ลองรับประทานยาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ซึ่งรวมไปถึงยาเม็ดคาร์บอนที่ช่วยดูดซึมแก๊สผ่านระบบย่อยอาหาร ยาลดกรดและอาหารเสริมเช่น alpha-galactosidase (Beano) แต่ควรจำว่ายาต่างๆเหล่านี้เป็นการบรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น
ควรไปพบแพทย์เมื่อไรสำหรับการผายลม
หากคุณมีการผายลมที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือมีอาการอย่างอื่นร่วมกับการผายลม คุณควรไปพบแพทย์เมื่อ:- มีหน้าท้องบวม
- ปวดท้อง
- มีแก๊สไม่ยอมหายและรุนแรง
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- ท้องผูก
- น้ำหนักลด
- เจ็บหน้าอกบ่อยๆ
- อุจจาระมีเลือดออก
การวินิจฉัยการผายลม
แพทย์จะสอบถามอาการของคุณ รวมไปถึงช่วงเวลาที่เริ่มมีปัญหา และหาสิ่งกระตุ้น แพทย์จะตรวจร่างกายของคุณ การตรวจเลือดอาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าร่างกายของคุณไม่ได้กำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ การหาภูมิแพ้อาหารแฝง และให้แน่ใจว่าไม่มีโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของการผายลม แพทย์จะเสนอขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น รวมไปถึงการดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คุณอาจได้รับยาสำหรับอาการบางอย่าง หากแพทย์สามารถระบุสาเหตุของอาการได้ คุณอาจได้รับการรักษาสำหรับอาการนั้นการป้องกันการผายลม
อาหารบางชนิดที่อาจทำให้เกิดแก๊สน้อยเช่น:- เนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และปลา
- ไข่
- ผัก เช่น ผักกาดหอม มะเขือเทศ ซุคกีนี่ และกระเจี๊ยบ
- ผลไม้ เช่น แคนตาลูป องุ่น เบอรรี่ เชอรรี่ อะโวคาโด และมะกอก
- คาร์โบไฮเดรตเช่น ขนมปังปราศจากกลูเตน ขนมปังข้าว และข้าว
การเฝ้าติดตามสำหรับการผายลม
ไม่มีการติดตามในระยะยาวในการรักษาอาการผายลม หากการผายลมเกิดขึ้นจากภูมิแพ้อาหารแฝงหรือปัญหาการย่อย ปัญหานี้อาจแย่ลงทำให้เกิดอาการอื่นๆขึ้น ในบางราย การผายลมมากเกินไปเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานอาจส่งผลสู่ปัญหาด้านอื่นๆ เช่นการเข้าสังคมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร หากการผายลมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมากก็อาจส่งผลต่อเรื่องของอารมณ์ได้ด้วย สิ่งที่สำคัญคือพยายามรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและไปปรึกษาแพทย์หากปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบด้านลบต่อชีวิตของคุณแต่ถ้าไม่ผายลมเลยอาจผิดปกติ
แม้ว่าการผายลม (ตด) เป็นการทำงานของร่างกายตามปกติและเป็นธรรมชาติ แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีอันตรายเฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับการไม่ตด อย่างไรก็ตาม การสะสมของก๊าซมากเกินไปในระบบย่อยอาหารอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย ท้องอืด และแน่นท้องได้ ต่อไปนี้เป็นประเด็นที่ควรพิจารณา:- ความถี่ปกติ:
-
-
- โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้คนส่งก๊าซประมาณ 13 ถึง 21 ครั้งต่อวัน อย่างไรก็ตาม ความถี่อาจแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละคน และปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร สุขภาพทางเดินอาหาร และนิสัยของแต่ละคนก็มีบทบาทเช่นกัน
-
- สาเหตุของการสะสมของก๊าซ:
-
-
- ก๊าซในระบบย่อยอาหารเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการย่อยอาหาร การกลืนอากาศ การบริโภคอาหารบางชนิด (เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี และเครื่องดื่มอัดลม) และการย่อยสลายอาหารที่ไม่ได้ย่อยโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ อาจทำให้เกิดการผลิตก๊าซได้
-
- รู้สึกไม่สบายและท้องอืด:
-
-
- การสะสมของก๊าซมากเกินไปโดยไม่มีการปล่อยก๊าซออกมาอาจทำให้รู้สึกไม่สบาย ท้องอืด และแน่นขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มและอาจปวดท้องร่วมด้วย
-
- ปัญหาทางเดินอาหารที่สำคัญ:
-
-
- ปัญหาเรื้อรังเกี่ยวกับแก๊ส ท้องอืด และไม่สบายอาจเกี่ยวข้องกับสภาวะทางเดินอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคลำไส้อักเสบ (IBD) หรือความผิดปกติของการดูดซึมผิดปกติ การปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอาจจำเป็นสำหรับการวินิจฉัยและการจัดการที่เหมาะสม
-
- บรรเทาก๊าซ:
-
-
- หากคุณรู้สึกไม่สบายเนื่องจากการสะสมของแก๊ส การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยได้ เช่น การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแก๊ส การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ และการรักษาร่างกายให้ไม่ขาดน้ำ การออกกำลังกายเบาๆ และการเดินยังช่วยขับแก๊สออกมาได้
-
- เมื่อใดควรไปพบแพทย์:
-
- หากคุณมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลง หรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นประจำ สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของปัญหาทางเดินอาหารที่ซ่อนอยู่ซึ่งต้องมีการประเมินและการรักษา
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://kidshealth.org/en/kids/fart.html
- https://www.nhs.uk/conditions/flatulence/
- https://www.medicalnewstoday.com/articles/321556
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น