ปริมาณแคลอรี่ต่อวัน (How Many Calories Eat Per Day) – คำแนะนำการคำนวณรายบุคคล

แคลอรี่เฉลี่ยที่เราควรรับประทานคือเท่าไร 

คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของอายุ ส่วนสูง น้ำหนักปัจจุบัน ระดับกิจกรรมที่ทำ และระบบการเผาผลาญของร่างกายร่วมกับอื่นๆอีกมากมาย เมื่อคุณกำลังพยายามที่จะลดน้ำหนัก กฏทั่วไปข้อแรกเลยคือ การลดจำนวนแคลอรี่ที่รับประทานเข้าไปให้ได้น้อยกว่า 500 แคลอรี่จากจำนวนทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้ราว 1 ปอนด์ (0.45 กก.) ต่อสัปดาห์ ค่าเฉลี่ยจำนวนแคลอรี่ที่พิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

สำหรับผู้หญิง

ค่าเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงที่ทำกิจกรรมระดับปานกลางที่มีอายุระหว่าง 26-50 ปี ต้องการการรับประทานราว 2,000 แคลอรี่ต่อวัน เพื่อรักษาน้ำหนัก และ 1,500 แคลอรี่ต่อวันเพื่อลดน้ำหนัก 1 ปอนด์ (0.45 กก.) ต่อสัปดาห์ ผู้หญิงที่ทำกิจกรรมและเดินมากกว่า 3 ไมล์ต่อวันจะต้องบริโภค 2,200 แคลอรี่หรือมากกว่า เพื่อรักษาน้ำหนัก และอย่างน้อย 1,700 แคลอรี่เพื่อลดน้ำหนัก  0.45กก.  ต่อสัปดาห์ ผู้หญิงในวัย 20 ต้นๆจะต้องการแคลอรี่มากกว่า ต้องการราว 2,200 แคลอรี่ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนัก ผู้หญิงที่อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไปจะต้องการแคลอรี่น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยสำหรับผู้หญิงที่ทำกิจกรรมระดับปานกลางที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไปจะต้องงการราว 1,800 แคลอรี่ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนัก และ 1,300 แคลอรี่ต่อวันเพื่อลดน้ำหนัก  0.45 กก.  ต่อสัปดาห์ ค่าเฉลี่ยไม่ได้คิดสำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่กำลังให้นมบุตร ทั้งสองกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับแคลอรี่มากกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัดเจน

สำหรับผู้ชาย

ค่าเฉลี่ยสำหรับผู้ชายที่ทำกิจกรรมระดับปานกลางที่มีอายุระหว่าง 26-45 ปี ต้องการ 2,600 แคลอรี่ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนักและ 2,100 แคลอรี่ต่อวันเพื่อลดน้ำหนัก  0.45 กก.  ต่อสัปดาห์ ผู้ชายที่ทำกิจกรรม และเดินมากกว่า 3 ไมล์ต่อวันจะต้องบริโภค 2,800–3,000 แคลอรี่ หรือมากกว่าเพื่อรักษาน้ำหนัก และอย่างน้อย 2,300–2,500 แคลอรี่เพื่อลดน้ำหนัก  0.45กก.  ต่อสัปดาห์ ผู้ชายในวัยระหว่าง 19-25 ปี เป็นวัยที่ต้องดการพลังงานสูงกว่าวัยอื่น จึงต้องการราว 2,800 แคลอรี่ต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนัก และมากถึง 3,000 แคลอรี่หากทำกิจกรรม เพื่อการลดน้ำหนัก  0.45กก.  ต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชายวัยหนุ่มสาวที่ทำกิจกรรมปานกลางจึงควรบริโภค 2,300–2,500 แคลอรี่ต่อวัน ความต้องการพลังงานจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อายุระหว่าง 46-65 ปี สำหรับผู้ชายที่ทำกิจกรรมระดับปานกลางจะต้องการราว 2,400 แคลอรี่ต่อวัน เมื่อายุหลัง 66 ปีขึ้นไป ผู้ชายจะต้องการแคลอรี่ลดลงเหลือราว 2,200 แคลอรี่ต่อวัน

สำหรับเด็ก

เด็กจะมีความต้องการสารอาหารในแต่ละวัยที่หลากหลายกันออกไป ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ ขนาด และระดับกิจกรรมที่ทำ ค่าเฉลี่ยของเด็กวัยหัดเดินจะต้องการ 1,200–1,400 แคลอรี่ต่อวัน ค่าเฉลี่ยสำหรับเด็กวัยรุ่นที่ทำกิจกรรมระดับปานกลางจะต้องการ  2,000–2,800  แคลอรี่ต่อวัน เด็กวัยรุ่นผู้ชายก็จะต้องการมากกว่าขึ้นไปอีก เด็กเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโต และมีการพัฒนาการ และมักทำกิจกรรมทางร่างกายอยู่ตลอดเวลาเราจึงมักไม่จำเป็นต้องนับตำนวนแคลอรี่ ขอเพียงแค่ให้พวกเขาได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทำกิจกรรม และรับประทานอาหารให้พอเพียงกับที่ร่างกายต้องการ

How Many Calories Eat Per Day

แคลอรี่คืออะไร 

แคลอรี่คือหน่วยวัดพลังงาน แคลอรี่มักนำมาใช้เพื่อวัดพลังงานของอาหาร และเครื่องดื่ม เพื่อการลดน้ำหนัก คุณจึงจำเป็นต้องรับประทานแคลอรี่ให้น้อยลงกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญได้ในแต่ละวัน

วิธีลดการจำนวนแคลอรี่ที่ได้รับ

แคลอรี่คือการวัดพลังงานง่ายๆ หากต้องการเพิ่มน้ำหนักคุณต้องบริโภคแคลอรี่มากกว่าที่ต้องการ ในทางกลับกัน คุณก็สามารถลดน้ำหนักลงได้หากคุณใช้แคลอรี่ได้มากกว่าที่คุณบริโภค ดังที่กล่าวไว้ การนับแคลอรี่ออกโดยไม่พิจารณาชนิดอาหารที่รับประทานไม่ใช่การลดน้ำหนักที่ยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น การเลือกรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยสารอาหารจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าเลือกทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร

1. รับประทานโปรตีนให้มากขึ้น

เมื่อเราต้อการลดน้ำหนัก โปรตีนจะกลายเป็นสารอาหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การเติมโปรตีนเพิ่มในอาหารที่รับประทานถือเป็นเรื่องง่าย ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดน้ำหนักแบบง่ายมากที่สุด จากการศึกษาพบว่าโปรตีนสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ และยังช่วยยับยั้งความอยากอาหารได้ด้วย เพราะโปรตีนต้องการพลังงานในการเผาผลาญสูง การรับประทานโปรตีนสูงจะสามารถเพิ่มจำนวนการเผาผลาญแคลอรี่ได้ถึง 80-100 แคลอรี่ต่อวัน การรับประทานโปรตีนจะช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น และอาจไปช่วยทำให้บริโภคน้อยลงได้ตลอดทั้งวัน จากการศึกษาพบว่าคนที่รับประทานโปรตีน 30% จากแคลอรี่ทั้งหมดสามารถลดแคลอรี่ต่อวันลงได้ 441 แคลอรี่ คุณสามารถเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ในการเผาผลาญแลัลดจำนวนแคลอรี่ที่บริโภคเข้าไปได้ด้วยการเพิ่มการทานโปรตีนมากขึ้น โปรตีนยังช่วยต่อสู้กับความอยากอาหารอีกด้วย หากคุณต้องการลดน้ำหนักลงได้แบบยั่งยืนด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดให้ลองการเพิ่มโปรตีนเป็นสิ่งที่ควรนึกถึง และถึงแม้ว่าอาจไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนักแต่โปรตีนก็ช่วยป้องกันหรือช่วยไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้

2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล และน้ำผลไม้

อีกหนึ่งสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่านดายที่สุดคือ การจำกัดแคลอรี่จากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลออกจากสิ่งที่บริโภค ซึ่งรวมไปถึงน้ำอัดลม น้ำผลไม้ นมช็อกโกแลต และเครื่องดื่มอื่นๆที่เติมน้ำตาล สมองของเราไม่ได้จดจำแคลอรี่จากของเหลวในแบบที่จำแคลอรี่จากของแข็ง ด้วยเหตุผลนี้ การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลจะไม่ทำให้สมองคิดได้เองว่าคุณทานน้อยลงเพื่อทดแทนสิ่งอื่น จากการศึกษาพบว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมีผลอย่างมากในการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะโรคอ้วน ผลกระทบที่เป็นอันตรายของน้ำตาลคือทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพของการเผาผลาญ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลายอย่าง การรับประทานผลไม้ที่มีใยอาหาร และสารอาหารที่สำคัญอื่นๆ ไม่ส่งผลเสียเหมือนกับการดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

3. ดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น

เคล็ดลับที่ง่ายมากในการเพิ่มการลดน้ำหนักก็ คือ การดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น จากการศึกษาพบว่าการดื่มน้ำสามารถไปเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ในการเผาไหม้ได้มากถึง 90 นาที ควรดื่มน้ำประมาณ 8 แก้ว (2 ลิตร) ต่อวันอาจช่วยเร่งการเผาผลาญได้มากกว่า 96 แคลอรี่ ช่วงเวลาที่ควรดื่มน้ำเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก การดื่มน้ำในทันทีก่อนมื้ออาหารอาจช่วยลดความหิว และทำให้รับประทานแคลอรี่ได้น้อยลง จากการศึกษา 12 สัปดาห์ด้วยการดื่มน้ำ  0.5ลิตร  ก่อนมื้ออาหารครึ่งชั่วโมงสามารถลดน้ำหนักลงได้ 44%   เมื่อนำการดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นมาใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหารปรากฏว่าสามารถช่วยในการลดน้ำหนักได้  การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ และชาเขียว อาจเร่งการเผาผลาญได้เล็กน้อย อย่างน้อยก็ได้ในระยะสั้น

4. การออกกำลังกายและยกน้ำหนัก

เมื่อเรารับประทานแคลอรี่น้อยลงแล้ว ร่างกายของเราจะชดเชยด้วยการประหยัดพลังงานซึ่งส่งผลให้มีการเผาผลาญแคลอรี่ได้น้อยลงด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการจำกัดแคลอรี่เป็นระยะเวลานานๆอาจไปลดการเผาผลาญลงไปด้วย อีกทั้งยังทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อคือ การทำงานของระบบเผาผลาญ ดังนั้นจึงอาจไปลดการเผาผลาญได้ในภายภาคหน้า เมื่อเราพยายามที่จะลดน้ำหนัก สิ่งสำคัญคือการรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรงเสมอ และลดไขมันลง หากคุณไม่ได้เข้ายิม คุณสามารถใช้วิธีการออกกำลังกายด้วยวิธีบอดี้เวทได้ เช่นการวิดพื้น สควอช และซิทอัพที่บ้านได้ร่วมกับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่นการเดิน ว่ายน้ำหรือวิ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ

5. ลดการบริโภคคาร์บที่ผ่านการขัดสี

การตัดคาร์บออก คือ วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการลดน้ำหนัก และช่วยลดความอยากอาหาร และทำให้รับประทานแคลอรี่ได้น้อยลงด้วย จากการศึกษาพบว่า การรับประทานอาหารคาร์บต่ำสามารถช่วยลดน้ำหนักลงได้มากกว่าสองถึงสามเท่าเมื่อเทียบกับการจำกัดแคลอรี่ บิ่งไปกว่านั้น การรับประทานคาร์บต่ำยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆอีกมากมาย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรคเบาหวาน  หรือกลุ่มอาการระบบเผาผลาญ

บทสรุป

ปริมาณที่คุณต้องการบริโภคในแต่ละวันขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังต้องการรักษาน้ำหนัก ลดน้ำหนัก หรือเพิ่มน้ำหนัก รวมถึงปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย เช่น เพศ อายุ ส่วนสูง น้ำหนักปัจจุบัน ระดับการทำกิจกรรม และสุขภาพด้านการเผาผลาญ การลดแคลอรี่ต้องไม่ได้หมายความว่าคุณต้องโหยหาอาหาร การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อย และการใช้ชีวิต ซึ่งรวมไปถึงการออกกำลังกาย การรักษาความชุ่มชื้นที่เหมาะสมและเพิ่มการรับประทานโปรตีน ก็สามารถช่วยลดน้ำหนัก และทำให้รู้สึกพึงพอใจได้ วิธีการกำหนดปริมาณที่เหมาะสมสำหรับความต้องการส่วนบุคคลของคุณ
  • อัตราการเผาผลาญพื้นฐาน (BMR):
      • อัตราการเผาผลาญพื้นฐานคือจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการเพื่อการทำงานในช่วงที่เหลือ โดยคำนึงถึงการทำงานของร่างกายที่จำเป็น เช่น การหายใจ การไหลเวียน และการผลิตเซลล์
      • BMR ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ เพศ น้ำหนัก และมวลกล้ามเนื้อ เมื่อคุณอายุมากขึ้น BMR ของคุณก็มีแนวโน้มลดลง
  • ค่าใช้จ่ายพลังงานรายวันทั้งหมด (TDEE):
      • TDEE หมายถึงจำนวนแคลอรี่ทั้งหมดที่คุณเผาผลาญในหนึ่งวัน โดยคำนึงถึง BMR และการออกกำลังกายของคุณ
      • ระดับการออกกำลังกายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนด TDEE ของคุณ บุคคลที่อยู่ประจำจะมี TDEE ต่ำกว่าผู้ที่กระตือรือร้นมาก
  • ระดับกิจกรรมและความต้องการแคลอรี่:
      • อยู่ประจำที่ (ออกกำลังกายน้อยหรือไม่มีเลย): BMR x 1.2
      • ออกกำลังกายเบาๆ (ออกกำลังกายเบาๆ/เล่นกีฬา 1-3 วัน/สัปดาห์): BMR x 1.375
      • ออกกำลังกายปานกลาง (ออกกำลังกาย/เล่นกีฬาปานกลาง 3-5 วัน/สัปดาห์): BMR x 1.55
      • กระตือรือร้นมาก (ออกกำลังกายหนัก/เล่นกีฬา 6-7 วันต่อสัปดาห์): BMR x 1.725
      • ใช้งานหนักมาก (ออกกำลังกาย/เล่นกีฬา และออกกำลังกายอย่างหนัก หรือออกกำลังกาย 2 ครั้ง): BMR x 1.9
  • เป้าหมายน้ำหนักและปริมาณแคลอรี่:
      • ในการลดน้ำหนัก โดยทั่วไปคุณต้องบริโภคแคลอรี่น้อยกว่า TDEE อัตราการลดน้ำหนักที่ปลอดภัยและยั่งยืนคือประมาณ 1-2 ปอนด์ต่อสัปดาห์
      • ในการเพิ่มน้ำหนัก คุณจะต้องมุ่งเป้าไปที่แคลอรี่ส่วนเกิน โดยบริโภคแคลอรี่มากกว่า TDEE ของคุณ อย่างไรก็ตาม ควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไปและควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเป็นประจำ
  • คุณภาพของแคลอรี่มีความสำคัญ:
      • ไม่ใช่แค่ปริมาณแคลอรี่เท่านั้น คุณภาพอาหารของคุณก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน มุ่งเน้นไปที่อาหารที่มีสารอาหารหนาแน่น รวมถึงผลไม้ ผัก โปรตีนไร้มัน และธัญพืชหลากหลายชนิด
  • การตรวจสอบและการปรับ:
    • ติดตามความคืบหน้าของคุณเป็นประจำ และเปิดใจที่จะปรับปริมาณแคลอรี่ตามการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก ระดับกิจกรรม หรือเป้าหมายด้านสุขภาพโดยรวม
การกำหนดจำนวนแคลอรี่ที่จะกินต่อวันเป็นการเดินทางส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจความต้องการเฉพาะของร่างกายคุณ ด้วยการคำนวณ BMR พิจารณาระดับกิจกรรมของคุณ และจัดปริมาณแคลอรี่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสุขภาพ คุณจะสามารถสร้างสมดุลที่ส่งเสริมความเป็นอยู่โดยรวมและการจัดการน้ำหนักอย่างยั่งยืน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพหรือนักโภชนาการที่ลงทะเบียนเสมอเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะตัวที่เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด