การตรวจ EGD คืออะไร?

แพทย์จะใช้การตรวจการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นเพื่อตรวจดูเนื้อเยื่อของหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและดูโอดีนัม หลอดอาหารคือท่อของกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อกับคอที่ตรงไปยังกระเพาะอาหารและดูโอดีนัม ซึ่งเป็นส่วนบนของลำไส้เล็ก  เอ็นโดสโคปคือกล้องเล็กที่ติดอยู่ที่ปลายท่อ การตรวจ EGD รวมไปถึงการตรวจด้วยการใส่กล้องเอ็นโดสโคปลงไปในลำคอและยาวเรื่อยไปตามหลอดอาหาร

การตรวจ EGD เมื่อมีอาการอย่างไร

แพทย์อาจจะแนะนำให้ตรวจ EGD หากคุณมีอาการบางอย่างเช่น:
  • มีอาการแสบร้อนเรื้อรัง รุนแรง
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • มีอุจจาระดำเหนียวเหมือนน้ำมันดิน
  • สำรอกอาหาร
  • ปวดท้องส่วนบน
  • มีภาวะโลหิตจางที่ไม่สามารถอธิบายได้
  • มีอาการคลื่นไส้หรือาเจียนไม่หาย
  • น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • รู้สึกอิ่มหลังรับประทานอาหารที่น้อยกว่าปกติ
  • ความรู้สึกว่ามีอาหารติดอยู่ที่กระดูกหน้าอก
  • การกลืนลำบากหรือเจ็บ
แพทย์อาจใช้การตรวจนี้เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาหากเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่เป็นเช่น: อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: โรคโครห์นได้ที่นี่

การเตรียมตัวสำหรับการตรวจ EGD

การเตรียมตัวก่อนการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ แพทย์จะแนะนำให้หยุดยาเช่นแอสไพริน (บัฟเฟอร์ริน) และสารเจือจางเลือดอื่นๆเป็นเวลาหลายวันก่อนการตรวจ  ต้องงดอาหารก่อนการตรวจ 6-12 ชั่วโมงก่อนการตรวจ คนที่สวมใส่ฟันปลอมจะต้องถูกเอาออกก่อนการตรวจ และเหมือนกับการตรวจทางการแพทย์ทุกชนิดคนไข้จะต้องถูกขอให้เซ็นต์ยินยอมก่อนการเข้ารับการผ่าตัด

การตรวจ EGD ทำอย่างไรและทำได้ที่ไหนบ้าง

ก่อนการตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหาร EGD แพทย์จะให้ยาชาและยาแก้ปวดแแก่คนไข้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกปวด ปกติคนไข้มักจะจำอะไรในระหว่างตรวจไม่ได้ แพทย์อาจใช้ยาระงับความรู้สึกแบบสเปรย์เฉพาะที่ฉีดเข้าไปที่ในปากเพื่อหยุดการสำลักหรือไอในขณะที่สอดกล้องเอ็นโดสโคปเข้าไป อาจต้องใช้ฟันยางเพื่อป้องกันความเสียหายของฟันหรือกล้อง แพทย์จะฉีดเข็มเข้าเส้นเลือดดำที่แขนดังนั้นยาจะอยู่ตลอดเวลาในการตรวจ คนไข้จะต้องนอนตะแคงซ้ายในระหว่างการตรวจ ทันทีที่ยาชาเริ่มออกฤทธิ์ กล้องเอ็นโดสโคปจะถูกใส่เข้าไปในหลอดอาหารแลใส่ลงไปที่่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน อากาศจะถูกนำเข้าไปที่หลอดอาหารเพื่อให้แพทย์สามารถเห็นเนื่อเยื่อของหลอดอาหาร ในระหว่างการตรวจ แพทย์จะนำตัวอย่างเนื้อเยื่อออกมาด้วยกล้องเอ็นโดสโคป ตัวอย่างที่ได้นี้จะถูกนำไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อระบุหาเซลล์ที่ผิดปกติ กระบวนการนี้เรียกว่าการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจ การรักษาบางครั้งอาจทำเสร็จในระหว่างการตรวจ EGD เช่นเพื่อขยายบริเวณที่แคบผิดปกติของหลอดอาหาร การตรวจจะใช้เวลา 5 ถึง 20 นาที อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคกระเพาะทะลุได้ที่นี่

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนของการตรวจ

In general, ปกติแล้วการตรวจ EGD คือการตรวจที่มีความปลอดภัย การตรวจมีความเสี่ยงต่ำมากที่กล้องเอ็นโดสโคปจะทำให้เกิดรูเล็กๆในหลอดอาหาร กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก หากเลือกใช้วิธีตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยจากการเลือดไหลที่ยาวนานตรงบริเวณที่เนื้อเยื่อถูกตัดออกไป ในบางรายอาจเกิดปฏิกิริยาต่อยาชาและยาแก้ปวดที่ใช้ในระหว่างการตรวจ และอาจรวมไปถึง:
  • ภาวะการหายใจลำบากหรือไม่สามารถหายใจได้
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • จังหวะหัวใจเต้นช้า
  • เหงื่อออกมากกว่าปกติ
  • เกิดการหดตัวของกล่องเสีย
แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดภาวะแทรกซ้อนนั้นพบได้ต่ำกว่าหนึ่งในพันคน การตรวจ  EGD

ความเข้าใจผลการตรวจ

ผลปกตินั้นหมายความว่าเนื้อเยื่อภายในของหลอดอาหารมีความราบเรียบและแสดงให้เห็นว่าไม่มีสัญญานดังต่อไปนี้:
  • ภาวะการอักเสบ
  • การเจริญเติบโต
  • แผลเปื่อย
  • มีเลือดไหล
สาเหตุที่ทำให้ได้ผลการตรวจที่ผิดปกติเช่น:
  • โรคซิลิแอค เป็นผลมาจากความเสียหายของเนื้อเยื่อลำไส้และกันไม่ให้เกิดการดูดซึมสารอาหาร
  • พังผืดในหลอดอาหาร คือมีเนื้อเยื่อเจริญเติบโตผิดปกติตรงบริเวณจุดเชื่อมต่อของหลอดอาหารกับกระเพาะอาหาร
  • ภาวะหลอดเลือดโป่งพองในหลอดอาหาร 
  • ไส้เลื่อนกระบังลม คือภาวะที่เป็นสาเหตุทำให้ส่วนของกระเพาะอาหารปูดนูนดันเปิดเข้าในกระบังลม
  • หลอดอาหารอักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบ และลำไส้เล็กดูโอดีนัมอักเสบ คือภาวะการอักเสบของเนื้อเยื่อหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
  • โรคกรดไหลย้อน (GERD) คือภาวะที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ของเหลวหรืออาหารจากกระเพาะอาหารรั่วย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหาร
  • ภาวะหลอดอาหารฉีกขาดคือเนื้อเยื่อของหลอดอาหารมีการฉีกขาด 
  • เกิดแผลเปื่อยในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก

หลังการตรวจ

นางพยาบาลจะเฝ้าติดตามดูอาการต่อประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อให่แน่ใจว่าไม่หลงเหลือผลจากยารังับประสาทและสามารถกลืนได้โดยไม่เกิดปัญหาหรือไม่สบายตัว อาจมีอาการท้องอืดบ้างเล็กน้อย บางรายอาจมีอาการปวดหรือเจ็บคอเล็กน้อย ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติและควรหายไปภายใน 24 ชั่วโมง ให่คอยจนสามารถกลืนได้ดีแล้วจึงรับประทานหรือดื่ม โดยเริ่มจากอาหารว่างอ่อนๆ ควรรีบพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้:
  • อาการแย่ลงมากกว่าก่อนการตรวจ
  • การกลืนมีปัญหา
  • รู้สึกมึนงงหรือหน้ามืด
  • อาเจียน
  • ปวดแปลบภายในท้อง
  • อุจจาระมีเลือดปน
  • ไม่สามารถรับประทานหรือดื่ม
  • ปัสสาวะน้อยกว่าปกิหรือไม่ปัสสาวะเลย
แพทย์จะดูผลการตรวจร่วมกับคนไข้ แพทย์อาจสั่งตราวจเพิ่มเติมก่อนการวินิจฉัยหรือวางแผนการรักษา
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด