น้ำหนัก ส่วนสูงกับสุขภาพ
หลายคนเกิดความสงสัยว่าน้ำหนักที่ดีควรเป็นเท่าไหร่? การกำหนดน้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอายุ อัตราส่วนไขมันกล้ามเนื้อ ส่วนสูง เพศ และการกระจายไขมันในร่างกาย หรือรูปร่าง การมีน้ำหนักเกินอาจส่งผลต่อความเสี่ยงของบุคคลในการเกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคอ้วน เบาหวานประเภทที่ 2 ความดันโลหิตสูง และปัญหาหัวใจและหลอดเลือด ไม่ใช่ทุกคนที่มีน้ำหนักเกินจะเกิดปัญหาสุขภาพ แต่คาดว่าน้ำหนักที่เกินมาแต่ละปอนด์นั้น อาจไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในปัจจุบัน แต่การขาดการจัดการน้ำหนักที่ดีอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ในอนาคต อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาหารควบคุมน้ำหนักได้ที่นี่วิธีการวัดน้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุที่ดี
วิธีที่ 1: ดัชนีมวลกาย (BMI)
ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นเครื่องมือทั่วไปในการตัดสินใจว่าบุคคลมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมหรือไม่ เป็นการวัดน้ำหนัก ส่วนสูงของบุคคล ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร การคำนวนจะนำส่วนสูง (ซม.) มาหารด้วยน้ำหนักตัว (กก.) เกณฑ์น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน คือ:- ค่าดัชนีมวลกายที่น้อยกว่า 18.5 หมายความว่าบุคคลนั้นมีน้ำหนักน้อยเกินไป
- ค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5 ถึง 24.9 นั้นเป็นน้ำหนักตัวที่เหมาะสม
- ค่าดัชนีมวลกายระหว่าง 25 ถึง 29.9 เป็นค่าของน้ำหนักที่มากเกินไป
- ค่าดัชนีมวลกายเกิน 30 บ่งบอกถึงภาวะโรคอ้วน
- ขนาดเอวหรือสะโพก
- สัดส่วน หรือการกระจายของไขมัน
- สัดส่วนมวลกล้ามเนื้อ
วิธีที่ 2: อัตราส่วนระหว่างเอวและสะโพก (WHR)
การวัดจากเอวถึงสะโพกของแต่ละคนนั้น เป็นการเปรียบเทียบระหว่างขนาดเอวกับสะโพก ผู้ที่มีไขมันในร่างกายจะแสดงภาวะไขมันบริเวณตรงกลางลำตัว ซึ่งหากมีค่ามากย่อมมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) และโรคเบาหวาน ยิ่งวัดรอบเอวสูงตามสัดส่วนสะโพก ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง อัตราส่วนเอวต่อสะโพก (WHR) จึงเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการคำนวณว่าบุคคลนั้นมีน้ำหนักและขนาดที่เหมาะสมหรือไม่ วิธีวัดอัตราส่วนเอวต่อสะโพก- วัดรอบเอวบริเวณที่แคบที่สุด มักอยู่เหนือสะดือ
- วัดรอบสะโพก บริเวณที่กว้างที่สุด
- ต่ำกว่า 0.9: แสดงว่ามีความเสี่ยงของปัญหาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระดับต่ำ
- ค่าระหว่าง 0.9 ถึง 0.99: ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง
- ค่า 1.0 หรือมากกว่า: ความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง
- คาต่ำกว่า 0.8: แสดงว่าความเสี่ยงต่ำ
- ค่าระหว่าง 0.8 ถึง 0.89: ความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลาง
- ค่า 0.9 หรือมากกว่า: ความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง
วิธีที่ 3: อัตราส่วนเอวต่อส่วนสูง
อัตราส่วนเอวต่อส่วนสูง (WtHR) เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้ทำนายความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และอัตราการเสียชีวิต ผลโดยรวมแม่นยำกว่า BMI รวมถึงการทำนายอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีส่วนสูงน้อยกว่าครึ่งรอบเอวจะมีความเสี่ยงที่เกิดโรคแทรกซ้อนทางสุขภาพที่เป็นอันตรายต่อชีวิตน้อยลง วัดอัตราส่วนเอวต่อส่วนสูง การคำนวณ WtHR จะนำขนาดของเอวมาหารด้วยความสูง หากคำนสนได้ 0.5 หรือน้อยกว่า แสดงว่ามีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม- ผู้หญิงที่สูง 5 ฟุต 4 นิ้ว (163 ซม.) ควรมีรอบเอวต่ำกว่า 32 นิ้ว (81 ซม.)
- ผู้ชายที่สูง 6 ฟุตหรือ 183 เซนติเมตร (ซม.) ควรมีรอบเอวต่ำกว่า 36 นิ้ว ( 91 ซม.)
- เบาหวานประเภทที่ 2
- ความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
วิธีที่ 4: เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายคือน้ำหนักของไขมันในร่างกายหารด้วยน้ำหนักตัวทั้งหมด ไขมันในร่างกายทั้งหมนั้นดรวมถึงไขมันที่จำเป็นและไขมันสะสม ไขมันจำเป็น: คนเราต้องการไขมันเพื่อการดำรงชีวิต มีบทบาทในการทำงานของร่างกายหลายอย่าง สำหรับผู้ชาย ควรองค์ประกอบร่างกาย 2 ถึง 4 % เป็นไขมันสำหรับผู้หญิง ค่าควรอยู่ที่ 10 ถึง 13 % ไขมันสะสม: เนื้อเยื่อไขมันจะช่วยปกป้องอวัยวะภายในบริเวณหน้าอกและหน้าท้อง และร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ เมื่อจำเป็น เปอร์เซ็นต์ไขมันรวม ยังขึ้นกับประเภทร่างกาย หรือการทำกิจกรรมของแต่ละบุคคล สัดส่วนของไขมันในร่างกายที่สูง อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของ:- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจ
- ความดันโลหิตสูง
- หลอดเลือดหัวใจตีบ
- การวัดไขมันในร่างกายแบบไฮโดรสแตติกหรือ “การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ”
- การวัดความหนาแน่นของอากาศในกระดูก
- dual energy X-ray absorptiometry (DXA)
- bioelectrical impedance analysis
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น