ผู้เขียน Dr. Wikanda Rattanaphan
0
ยาคลายกล้ามเนื้อ

ยาคลายกล้ามเนื้อคืออะไร

ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาผ่อนคลายกล้ามเนื้อเป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ หรืออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ การหดเกร็งของกล้ามเนื้อหรือตะคริว เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ หรือมัดกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถควบคุมได้  อาจเกิดจากภาวะเครียดสะสมของกล้ามเนื้อที่มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความเจ็บปวด ได้แก่ อาการปวดหลังส่วนล่าง ปวดคอ และโรคไฟโบรมัยอัลเจีย อาการเกร็งกล้ามเนื้อคืออาการกระตุกของกล้ามเนื้อแบบเรื้อรัง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดความแข็งดึงที่รบกวนการเดิน การพูด หรือการเคลื่อนไหวร่างกายได้ อาการเกร็งของกล้ามเนื้ออาจเกิดจากการบาดเจ็บที่ส่วนต่าง ๆ ของสมอง หรือไขสันหลังที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ภาวะนี้อาจทำให้กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ได้แก่ โรคปลอกประสาทเสื่อม (MS)  ภาวะสมองพิการ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์อย่าง Tolperisone สามารถบรรเทาอาการปวด และไม่สบายเมื่อกล้ามเนื้อกระตุก หรือชักเกร็งได้ แต่ยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์บางชนิดก็สามารถรักษาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อกระตุกได้

ยาที่แพทย์ต้องควบคุม

ยาที่ต้องควบคุมโดยแพทย์ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ Antispasmodics และ Antispastics Antispasmodics ใช้รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ และ Antispastics ใช้รักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ Antispasmodics บางชนิดอย่าง Tizanidine สามารถใช้เพื่อรักษาอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อได้ แต่ไม่ควรใช้ Antispastics รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ

Antispasmodics: ทำหน้าที่เป็นยาคลายกล้ามเนื้อ (SMRs)

SMR หน้าที่หลักคือการผ่อนคลาย และบำบัดทางกายภาพ เพื่อช่วยบรรเทาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ  เป็นการทำงานโดยการกดประสาท เพื่อป้องกันไม่ให้เส้นประสาทส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อเม็ดสีชมพูนี้ภายในระยะเวลา 2 หรือ 3 สัปดาห์เท่านั้น เพราะยังไม่ทราบผลข้างเคียงจากการใช้งานในระยะยาว Antispasmodics ใช้รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อได้ แต่พบว่าประสิทธิภาพการรักษาอาการอาจด้อยกว่ายาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือ Acetaminophen ทั้งยังมีผลข้างเคียงที่มากกว่า NSAIDs หรือ Acetaminophen อีกด้วย ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ SMR ได้แก่ : ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงคุณสมบัติและความเสี่ยงของยาเหล่านี้ หากนำมาใช้รักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุก

Antispastics

Antispastics ใช้รักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ไม่ควรใช้รักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุก ยาเหล่านี้ ได้แก่ : Baclofen: baclofen (Lioresal) ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกิดจากโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ซึ่งยังไม่สามารถเข้าใจกระบวนการทำงานของยาชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน แต่คาดว่าจะเป็นการหยุดสัญญาณประสาทจากไขสันหลังที่เป็นสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อกระตุก ผลข้างเคียงคืออาการง่วงนอน เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และเหนื่อยล้า Dantrolene: Dantrolene (Dantrium) ใช้รักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เกิดจากอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะสมองพิการ หรือโรคปลอกประสาทส่วนกลางเสื่อมแข็ง ทำงานโดยกับกล้ามเนื้อยึดกระดูก เพื่อผ่อนคลายอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงของยาคืออาการง่วงนอน เวียนศีรษะ มึนงง และอ่อนเพลีย Diazepam: Diazepam (Valium) ใช้บรรเทาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เกิดจากการอักเสบ การบาดเจ็บ หรืออาการเกร็งของกล้ามเนื้อ การทำงานคือการสนับสนุนสารสื่อประสาทบางชนิด เพื่อลดการเกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ Diazepam มีฤทธิ์กล่อมประสาท ยาคลายกล้ามเนื้อผลข้างเคียงคืออาการง่วงนอน อ่อนเพลีย และกล้ามเนื้ออ่อนแรงMuscle Relaxers

ข้อควรระวังในการกินยาคลายกล้ามเนื้อที่อยู่ในการควบคุมของแพทย์ 

ยาคลายกล้ามเนื้อเช่น Carisoprodol และ Diazepam ต้องกินให้เป็นกิจวัตร ห้ามลืมกินยาตามเวลาที่แพทย์สั่ง ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการถอนยาได้ เช่น อาการชัก หรือเห็นภาพหลอน (การรับรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของจริง) ไม่ควรหยุดรับประทานยาแบบกะทันหัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยรับประทานยามาเป็นเวลานาน ยาคลายกล้ามเนื้อยังกดระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) ทำให้ขาดความกระตือรือร้น หรือใส่ใจสิ่งต่าง ๆ หากกำลังรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้ความระมัดระวัง หรือสมาธิสูง ๆ เช่น การขับรถ หรือใช้เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ไม่ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อร่วมกับ:
  • แอลกอฮอล์
  • ยากดประสาทระบบประสาทส่วนกลาง เช่น Opioids หรือ Psychotropics
  • ยานอนหลับ
  • อาหารเสริมบาทชนิด
ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อที่ปลอดภัย โดยเฉพาะในผู้ป่วย:
  • อายุมากกว่า 65 ปี
  • มีปัญหาสุขภาพจิต หรือความผิดปกติทางสมอง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับตับ

ยานอกข้อบ่งชี้สำหรับภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็ง

แพทย์อาจใช้ยาบางชนิดรักษาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ แม้ว่ายาจะไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งเรียกว่ายานอกข้อบ่งชี้ ยาต่อไปนี้ไม่ใช่ยาคลายกล้ามเนื้อ โดยตรง แต่สามารถช่วยบรรเทาอาการเกร็งได้

Benzodiazepines

Benzodiazepines เป็นยาระงับประสาทที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำงานโดยเพิ่มสารสื่อประสาทบางชนิด ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของเซลล์สมอง ตัวอย่างของ Benzodiazepines ได้แก่ :
  • Clonazepam (Klonopin)
  • Lorazepam (Ativan)
  • Alprazolam (Xanax)
ผลข้างเคียงของ Benzodiazepines คือ อาการง่วงนอน และปัญหาในการรักษาสมดุลของร่างกาย ความจำไม่ดี และยาเหล่านี้ต้องกินให้ตรงเวลา

Clonidine

Clonidine (Kapvay) คาดว่าการทำงานคือการป้องกันไม่ให้เส้นประสาทส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง หรือกดเส้นประสาทเอาไว้ หลีกเลี่ยงการใช้ Clonidine ร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อชนิดอื่น ๆ การรับประทานร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อ mydocalm ที่ให้ผลคล้ายคลึงกันจะเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียง ตัวอย่างเช่น การใช้ clonidine ร่วมกับ tizanidine อาจลดความดันโลหิตให้ต่ำลง

Gabapentin

Gabapentin (Neurontin) เป็นยากันชักที่ใช้บรรเทาอาการชัก ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า Gabapentin ทำงานอย่างไรเพื่อบรรเทาอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ 

ตัวเลือกในการรักษาอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่ไม่ต้องถูกแพทย์ควบคุม

การรักษาแบบ OTC แนะนำให้ใช้เพื่อการรักษาเบื้องต้นสำหรับอาการกล้ามเนื้อกระตุกที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่นอาการปวดหลังส่วนล่างแบบเฉียบพลัน หรือปวดศีรษะจากความเครียด เป็นการรักษาด้วย OTC ก่อนพบแพทย์ ตัวเลือกการรักษาแบบ OTC ได้แก่ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยา acetaminophen หรือยาทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน แพทย์หรือเภสัชกรอาจเลือกแนวการรักษาแบบ OTC ให้ได้

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

NSAIDs ทำงานโดยการหยุดไม่ให้ร่างกายสร้างสารบางอย่างที่ทำให้เกิดการอักเสบ และรู้สึกเจ็บปวด NSAID ใช้เป็นยาแก้ปวดกล้ามเนื้ออักเสบ แต่หากใช้ในปริมาณมาก ๆ จะต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ NSAIDs อยู่ในรูปของยาเม็ด แคปซูล หรือยาน้ำแบบแขวนลอย หรือในรูปแบบเม็ดเคี้ยวสำหรับเด็ก ผลข้างเคียงของยานี้คืออาการปวดท้อง และเวียนศีรษะ ตัวอย่างของ NSAID ได้แก่ 

Acetaminophen

Acetaminophen (Tylenol) คาดว่าทำงานโดยการหยุดการสร้างสารบางอย่างของร่างกายที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด Acetaminophen มีทั้งในรูปแบบยาเม็ด และแคปซูล ที่สามารถปล่อยตัวยาออกมาได้ทันทีที่กินเข้าปาก และเม็ดเคี้ยว  ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ acetaminophen คืออาการคลื่นไส้ และปวดท้อง

ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่อใด

ผู้ป่วยมักคิดว่าอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ หรืออาการเกร็งนั้นสามารถรักษาให้หายได้เอง แต่ในบางกรณีผู้ป่วยควรรีบไปแพทย์ หากมีอาการดังนี้:
  • ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งขึ้นเองเป็นครั้งแรก โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ภาวะกล้ามเนื้อหดเกร็งเริ่มรุนแรงหรือบ่อยขึ้น จนส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย
  • มีอาการกระตุกกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง และถี่มาก
  • เกิดความผิดปกติที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากกล้ามเนื้อกระตุก

ผลข้างเคียงจากยาแก้อักเสบกล้ามเนื้อ

  • อาการ “ข้อต่อติดขัด” เนื่องจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ จนลดระยะการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือทำให้เกิดแผลกดทับ
  • รู้สึกไม่สบายตัว หรือเจ็บปวดมากขึ้น

ข้อคำแนะนำจากแพทย์

สิ่งสำคัญคือรักษาอาการเกร็ง และกระตุกของกล้ามเนื้อ  อาการเกร็งที่รุนแรงในระยะยาวอาจนำไปสู่การหดตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะลดความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือทำให้ข้อต่อเกิดการติดขัด และเกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอื่น ๆ ได้ อาการกระตุกหรือเกร็งกล้ามเนื้อ สามารถรักษาได้ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ทำกายภาพบำบัด รักษาด้วยยาที่แพทย์ไม่ต้องควบคุม อาจไม่มียาคลายเส้นที่ดีที่สุด แต่การรักษาร่วมกับแพทย์ จะช่วยให้กำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมได้

เมื่อไหร่ที่ควรใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ

ยาคลายกล้ามเนื้อหรือ เป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการกล้ามเนื้อกระตุก ความตึง หรือความเจ็บปวดได้ การตัดสินใจใช้ยาคลายกล้ามเนื้อและระยะเวลาในการใช้ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์  ข้อควรพิจารณาทั่วไปบางประการมีดังนี้:
  • ทานเมื่อแพทย์สั่งเท่านั้น:
      • ยาคลายกล้ามเนื้อส่วนใหญ่เป็นยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ควรดำเนินการภายใต้การดูแลและคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพเท่านั้น
  • กล้ามเนื้อกระตุกหรือปวด:
      • โดยทั่วไปยาคลายกล้ามเนื้อมักถูกกำหนดไว้เพื่อบรรเทาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อเฉียบพลันหรือความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับสภาพของกล้ามเนื้อและกระดูก อาการทั่วไป ได้แก่ อาการปวดหลัง ปวดคอ และการบาดเจ็บบางประเภท
  • ทานก่อนนอน:
      • ยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการง่วงนอนหรือระงับประสาทได้ ดังนั้นผู้ให้บริการด้านการแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานก่อนนอนเพื่อลดผลกระทบต่อกิจกรรมประจำวัน
  • ทานกับอาหาร:
      • การทานยาคลายกล้ามเนื้อพร้อมกับอาหารหรือน้ำสักแก้วอาจช่วยลดอาการปวดท้องได้ ซึ่งอาจเป็นผลข้างเคียงของยาบางชนิดได้
  • ระยะเวลาที่สม่ำเสมอ:
      • หากผู้ให้บริการด้านการแพทย์กำหนดให้ยาคลายกล้ามเนื้อเป็นประจำ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับประทานตามเวลาที่แนะนำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยรักษาระดับยาในระบบของคุณให้คงที่
  • การใช้งานระยะสั้น:
      • โดยทั่วไปยาคลายกล้ามเนื้อมักถูกกำหนดไว้เพื่อใช้ในระยะสั้นเพื่อจัดการกับอาการเฉียบพลัน การใช้เป็นเวลานานหรือไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การพึ่งพาอาศัยกัน ความอดทน และผลข้างเคียงอื่นๆ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์:
      • สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะที่ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มผลยาระงับประสาท และเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการง่วงนอนหรืออาการผิดปกติได้
  • ห้ามขับรถหรือใช้เครื่องจักร:
      • เนื่องจากอาจเกิดอาการง่วงนอนได้ บุคคลที่รับประทานยาคลายกล้ามเนื้อควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องมีการตื่นตัวทางจิต เช่น การขับรถหรือใช้เครื่องจักรกลหนัก
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร:
    • ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านสุขภาพเกี่ยวกับปริมาณ ความถี่ และระยะเวลาของการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อเสมอ หากคุณพบผลข้างเคียงหรือมีข้อกังวล โปรดติดต่อผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณ
โปรดจำไว้ว่าไม่แนะนำให้สั่งยาเอง  หากคุณเชื่อว่าจำเป็นต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ให้ปรึกษาแพทย์ที่สามารถประเมินอาการของคุณและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลได้

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.webmd.com/back-pain/do-i-need-a-muscle-relaxer
  • https://www.medicalnewstoday.com/articles/muscle-relaxers
  • https://www.medicalnewstoday.com/articles/323393
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด