ประโยชน์ต่อสุขภาพกีวี่ (Health Benefits of Kiwi)

กีวี่ คืออะไร

กีวี่ หรือ กูสเบอร์รี่จีน เป็นผลไม้ที่เดิมเติบโตในแถบประเทศจีน อุดมไปด้วยสารอาหารแถมยังมีแคลอรี่ต่ำ ครูคนหนึ่งได้นำเมล็ดกีวี่จากประเทศจีนไปยังประเทศนิวซีแลนด์ในปีค.ศ. 1904 ชาวนิวซีแลนด์จึงเรียกมันว่า “กีวี่” ตามนกประจำชาติ กีวี่เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เนื่องจากมีวิตามินซีสูง และอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ซึ่งสามารถช่วยลดความดันโลหิต ช่วยรักษาบาดแผล และช่วยบำรุงรักษาลำไส้ และอื่น ๆอีกมาหมาย ตามข้อมูลด้านล่าง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรับประทานกีวี่

ประโยชน์ของกีวี่

กีวี่และผลไม้ต่าง ๆ ให้ประโยชน์ให้มากมายเนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหาร ซึ่งกีวี่เป็นแหล่งของวิตามินซี สารต้านอนุมูลอิสระ และใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ได้แก่ วิตามินซี โคลีน (Choline) ลูทีน(Lutein) และซีแซนทีน(Zeaxanthin) ซึ่งช่วยขจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย โดยอนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรเกิดจากการที่ร่างกายสร้างขึ้นในระหว่างการเผาผลาญและกระบวนการอื่น ๆ หากมีอนุมูลอิสระมากเกินไป อาจก่อให้เกิดสภาวะเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งส่งผลให้เซลล์ถูกทำลายและอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หรือโรคมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้องร่างกายโดยการกำจัดอนุมูลอิสระ

กีวี่มีกี่ประเภท

กีวีมีหลายประเภท และโดยทั่วไปจะจำแนกตามเนื้อผิว สี และรสชาติ กีวีที่พบมากที่สุดสองประเภทที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายและพร้อมสำหรับการบริโภคคือ:
  • กีวีเขียว (Actinidia deliciosa):
      • นี่เป็นกีวีชนิดที่พบได้ทั่วไปและเป็นที่รู้จักมากที่สุด มีผิวสีน้ำตาล และเนื้อสีเขียวสดใส มีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก กีวีสีเขียวเป็นพันธุ์ที่พบได้ทั่วไปในร้านค้าทั่วโลก มีรสหวานและมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย
  • กีวีทอง (Actinidia chinensis):
    • กีวีสีเหลืองหรือกีวี SunGold มีชื่อเรียกอีกอย่างว่ากีวีสีเหลือง มีผิวเรียบสีบรอนซ์และเนื้อสีเหลืองทอง โดยทั่วไปรสชาติจะหวานกว่ากีวีสีเขียว 
นอกเหนือจากสองประเภทหลักนี้แล้ว ยังมีพันธุ์และลูกผสมที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอีกด้วย ซึ่งแต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง ตัวอย่างบางส่วนได้แก่:
  • กีวีแดง (Actinidia melanandra):
      • นี่เป็นกีวีพันธุ์ที่ค่อนข้างหายากซึ่งมีผิวสีแดงหรือสีม่วงและเนื้อสีเขียว มีรสหวาน แม้ว่าจะไม่ธรรมดาเหมือนกีวีสีเขียวหรือสีทอง แต่ก็มีการปลูกในบางภูมิภาค
  • กีวีอาร์กติก (Actinidia arguta):
      • มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเบบี้กีวีหรือกีวีชนิดแข็ง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากีวีพันธุ์ทั่วไป มีผิวเรียบและกินได้ และมักรับประทานทั้งผลโดยไม่ต้องปอกเปลือก กีวีอาร์กติกอาจมีเนื้อสีเขียวหรือสีแดง และขึ้นชื่อในเรื่องรสหวานและเปรี้ยว
  • กีวีเถาเงิน (Actinidia polygama):
    • นี่คือกีวีสายพันธุ์ป่าที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออก มีใบสีเงินและให้ผลเล็กกินได้ แม้ว่าจะไม่ได้รับการปลูกฝังทั่วไปเหมือนกับกีวีพันธุ์อื่นๆ แต่บางครั้งก็ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ

กีวี่สรรพคุณและทางมีดังต่อไปนี้

สรรพคุณกี่วี่ช่วยดูแลสุขภาพผิว

วิตามินซีมีส่วนช่วยในการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์และอวัยวะต่างๆรวมไปถึงผิวหนัง และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการฟื้นหายของบาดแผล  กีวี่หนึ่งลูกมีน้ำหนัก 69 กรัม จะให้วิตามินซี 64 มิลลิกรัม ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 71–85 ของความต้องการวิตามินซีในแต่ละวัน นอกจากนี้ กีวี่ยังมีวิตามินอี หรือโทโคฟีรอล (Tocopherol) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด และช่วยป้องกันความผิดปกติของผิวหนังได้

ประโยชน์ของกีวี่ช่วยเรื่องการนอนหลับ

ในปีค.ศ. 2011 มีศึกษาผลกีวี่ต่อคุณภาพการนอนหลับ ในผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ซึ่งนักวิจัยพบว่าการรับประทานกีวี่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นตามรายงานของผู้ทดลอง นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าอาจเกิดจากสารต้านอนุมูลอิสระและสารเซโรโทนิน (Serotonin) ในกีวี่

ผลไม้กีวี่ช่วยบำรุงหัวใจและความดันโลหิต

กีวี่ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร  โพแทสเซียม(Potassium) และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยบำรุงหัวใจ โดยทาง American Heart Association (AHA) สนับสนุนให้ประชาชนเพิ่มการบริโภคโพแทสเซียมในขณะที่ให้ลดการบริโภคเกลือหรือโซเดียมลง โพแทสเซียมช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว สามารถจัดการกับความดันโลหิต ทั้งนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำมักจะมีโอกาสน้อยที่จะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ในกีวี่หนึ่งลูกมีโพแทสเซียมประมาณ 215 มก. หรือเกือบร้อยละ 5 ของความต้องการในแต่ละวันของร่างกาย ใยอาหารในนกีวี่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจและหลอดเลือด จากงานวิจัยในปีค.ศ. 2017 พบว่าผู้ที่บริโภคใยอาหารในปริมาณที่มากพอจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลง นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มทำให้มี ไลโปโปรตีน(lipoprotein) หรือคอเลสเตอรอลลดลง กีวี่หนึ่งลูกจะให้ใยอาหารประมาณ 2 กรัมหรือคิดเป็นร้อยละ 6–9 ของความต้องการต่อร่างกายในแต่ละวัน

กีวี่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในไต

จากข้อมูลของสำนักงานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กล่าวว่าการบริโภคโพแทสเซียมในปริมาณมากจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในไตได้

ลูกกีวี่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง

สถาบันมะเร็งแห่งชาติชี้แจงว่าอนุมูลอิสระในร่างกาย หากมีระดับสูงจะส่งผลต่อดีเอ็นเอซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหลายชนิด กีวี่ถือเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่หลายชนิดที่ช่วยขจัดกับอนุมูลอิสระให้ออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยป้องกันมะเร็งได้ นอกจากนี้จากการวิจัยยังพบว่าคนที่รับประทานใยอาหารในปริมาณมาก โดยเฉพาะใยอาหารจากผลไม้และธัญพืช มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้น้อยกว่าคนที่รับประทานใยอาหารในปริมาณน้อย

ลูกกีวี่ช่วยป้องกันอาการท้องผูก

มีการศึกษาในปีค.ศ. 2019 พบว่าผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงรับประทานกีวี่ ส่งผลให้ลำไส้เล็กกักเก็บน้ำได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อความถี่ในการถ่ายอุจจาระและความอ่อนนุ่มของอุจาระ ผู้วิจัยยังชี้ให้เห็นว่าการรับประทานกีวี่อาจเป็นทางเลือกจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถทดแทนยาระบายในผู้ที่ท้องผูก

ผลกีวี่ช่วยต่อต้านการอักเสบ

Kiwellin และ Kissper เป็นโปรตีนในกีวี่่ที่มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ จากผลทางห้องปฏิบัติการพบว่า Kissper อาจช่วยรักษาการอักเสบในลำไส้ของมนุษย์

ลูกกีวี่สีทองช่วยบำรุงครรภ์

กีวี่อุดมไปด้วยโฟเลต (Folate) ซึ่งจำเป็นต่อการแบ่งตัวของเซลล์ในระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์จึงแนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานโฟเลตเสริม เพื่อช่วยป้องกันทารกในครรภ์จากปัญหาด้านพัฒนาการ เช่น ความบกพร่องของท่อประสาท (Neural tube abnormalities) กีวี่หนึ่งลูกให้โฟเลตประมาณ 17.2 ไมโครกรัม (mcg) หรือมากกว่าร้อยละ 4 ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวันHealth Benefits of Kiwi

ประโยชน์กีวี่ช่วยบำรุงกระดูก

กีวี่มีวิตามินเค แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งทั้งหมดนี้มีช่วยให้กระดูกแข็งแรง การรับประทานวิตามินเคอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ นอกจากนี้วิตามินเคยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเรื่องการแข็งตัวของเลือด กีวี่หนึ่งลูกประกอบด้วยวิตามินประมาณร้อยละ 23–30 ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

ข้อมูลทางโภชนาการ กีวี่กี่แคล

ข้อมูลตามตารางด้านล่างแสดงให้เห็นถึงปริมาณสารอาหารที่มีเฉพาะในกีวี่ ที่มีน้ำหนัก 69 กรัม นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าร่างกายของเราต้องการสารอาหารเท่าใดในแต่ละวัน ตามข้อมูลแนะนำการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันปีค.ศ. 2015–2020 (Dietary Guidelines for Americans 2015–2020) อย่างไรก็ตามข้อแนะนำนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอายุและเพศ
ข้อมูลทางโภชนาการ จำนวนกีวี่หนึ่งลูก (69 กรัม) ความต้องการสารอาหารในแต่ละวันในผู้ใหญ่
พลังงาน (แคลอรี่) 42.1 1,600–3,000
คาร์โบไฮเดรต (กรัม) 10.1, รวมน้ำตาล 6.2 กรัม 130
ใยอาหาร (กรัม) 2.1 22.4–33.6
แคลเซียม (มิลลิกรัม) 23.5 1,000–1,300
แมกนีเซียม (มิลลิกรัม) 11.7 310–420
ฟอสฟอรัส (มิลลิกรัม) 23.5 700–1,250
โพแทสเซียม (มิลลิกรัม) 215 4,700
ทองแดง (ไมโครกรัม) 90 890–900
วิตามินซี (มิลลิกรัม) 64 65–90
โฟเลต (ไมโครกรัม) 17.2 400
เบต้าแคโรทีน (ไมโครกรัม) 35.9 ไม่พบข้อมูล
ลูทีนและซีแซนทีน (ไมโครกรัม) 84.2 ไม่พบข้อมูล
วิตามินอี (มิลลิกรัม) 1.0 15
วิตามินเค (มิลลิกรัม) 27.8 75–120
นอกจากนี้กีวี่ยังมีธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินอื่น ๆ นอกเหนือจากโฟเลตในปริมาณเล็กน้อย

เคล็ดลับในการรับประทานกีวี่ วิธีกินกีวี่

ข้อมูลด้านล่างเป็นเคล็ดลับต่าง ๆ ในรับประทานกีวี่:
  • ทานแบบทั่วไปด้วยการผ่าครึ่งกีวี่สุกและใช้ช้อนตักเนื้อด้านในทาน
  • ทำค็อกเทลผลไม้ด้วย กีวี่ สับปะรด มะม่วง และสตรอเบอร์รี่
  • ทำสมูทตี้หรือน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพด้วย กีวี่ ผักโขม แอปเปิ้ล และลูกแพร์
  • สไลด์กีวี่และแช่แข็งไว้ นำมารับประทานเป็นของว่างหรือทานร่วมกับของหวาน
  • หั่นกีวี่เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า โรยลงในสลัดผักโขม วอลนัท แครนเบอร์รี่อบแห้ง แอปเปิ้ลหั่นเต๋า เฟต้าชีส และน้ำสลัดแบบวินนะเกรท

ความเสี่ยงของการรับประทานกีวี่

สารอาหารบางชนิดในกีวี่อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อกันยาหรือก่อให้เกิดผลเสียอื่นๆ ได้

ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์

แพทย์มักสั่งจ่ายยาเหล่านี้กับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์อาจส่งผลให้ระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้น ดังนั้นผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ควรติดตามปริมาณของโพแทสเซียมที่ได้รับเข้าไป

ปัญหาเกี่ยวกับไต

การบริโภคโพแทสเซียมที่มากเกินไป อาจส่งผลอันตรายต่อผู้ที่เป็นโรคไต หรือผู้ที่ไตทำงานไม่ปกติ หากไตไม่สามารถกำจัดโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากเลือดได้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Blood thinners)

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดอาจใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (warfarin) ซึ่งกีวี่มีวิตามินเคจำนวนมากอาจรบกวนการทำงานของยาต้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่ใช้ยาเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารที่มีวิตามินเค

โรคภูมิแพ้

ในบางรายพบว่าเคยมีอาการแพ้กีวี่ สำหรับผู้ที่มีอาการของลมพิษ ผื่น หรือบวม หลังจากรับประทานกีวี่ควรรีบไปพบแพทย์ อาการที่รุนแรงขึ้นอาจนำไปสู่การแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

สรุป

กีวี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ ทานง่ายและสามารถเพิ่มรสชาติให้กับของหวานและสลัด นอกจากนี้กีวี่ยังถูกจัดอยู่ในรายชื่อ 15 อันดับผลไม้ปลอดภัยของปี 2019 ที่มียาฆ่าแมลงน้อยที่สุด กีวี่สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสด แบบแห้ง หรือเป็นน้ำผลไม้ 

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.webmd.com/diet/health-benefits-kiwi
  • https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6267416/
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด