เม็ดมะม่วงหิมพานต์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์คือเมล็ดพืชรูปไตที่มาจากต้นมะม่วงหิมพานต์ เป็นต้นไม้ในเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดในบราซิล แต่ปัจจุบันสามารถปลูกในสภาพอากาศอบอุ่นตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก แม้จะนับเป็นถั่วจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง และมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็คือเมล็ดพืชที่ อุดมไปด้วยสารอาหาร และสารประกอบที่เป็นประโยชน์จริง และสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้มากมาย เหมือนกับถั่วส่วนมาก เม็ดมะม่วงหิมพานต์จะช่วยให้สุขภาพร่างกายดีขึ้น พบความสัมพันธ์กับการลดน้ำหนัก การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และหัวใจที่แข็งแรงขึ้น

คนยังมองหา : ยาลดความอ้วน

 

ประโยชน์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย  เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ยังไม่คั่ว 1 ออนซ์ (28 กรัม) ให้สารอาหารต่าง ๆ ดังนี้:
  • แคลอรี่: 157
  • โปรตีน: 5 กรัม
  • ไขมัน: 12 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต: 9 กรัม
  • ไฟเบอร์: 1 กรัม
  • ทองแดง: 67% ของปริมาณที่ควรบริโภคต่อวัน (DV)
  • แมกนีเซียม: 20% ของ DV
  • แมงกานีส: 20% ของ DV
  • สังกะสี: 15% ของ DV
  • ฟอสฟอรัส: 13% ของ DV
  • เหล็ก: 11% ของ DV
  • ซีลีเนียม: 10% ของ DV
  • ไทอามีน: 10% ของ DV
  • วิตามินเค: 8% ของ DV
  • วิตามินบี 6: 7% ของ DV
เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และโรคหัวใจได้ นอกจากนี้ยังมีปริมาณน้ำตาลที่ต่ำ เป็นแหล่งของไฟเบอร์และโปรตีนในปริมาณที่ใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ นอกจากนี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ยังมีทองแดงอยู่มาก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับสร้างพลังงาน การบำรุงสมองให้แข็งแรง และเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของแมกนีเซียม และแมงกานีสที่ดีซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อกระดูก

เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วประโยชน์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีน้ำตาลต่ำ และอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ไขมันที่ดีต่อหัวใจ และโปรตีนจากพืช และยังเป็นแหล่งอาหารที่ดีของทองแดง แมกนีเซียม และแมงกานีสซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการสร้างพลังงาน สุขภาพสมอง

สารประกอบที่มีประโยชน์ของผลเม็ดมะม่วงหิมพานต์

ถั่ว และเมล็ดพืชหลายชนิดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เป็นหนึ่งในนั้น สารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารประกอบจากพืชที่มีประโยชน์ ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรง เพราะสามารถต่อต้านโมเลกุลที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับร่างกายที่เรียกว่าอนุมูลอิสระได้ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถลดการอักเสบ และบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพที่ดี และปราศจากโรค เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยโพลีฟีนอล และแคโรทีนอยด์ – สารต้านอนุมูลอิสระทั้ง 2 ประเภทนี้พบได้ในถั่วชนิดอื่น ๆ ด้วย มีผลการศึกษาที่แสดงว่าสารต้านอนุมูลอิสระในถั่ว อย่างวอลนัท พีแคน และอัลมอนด์ นั้นสามารถลดระดับความเสียหายที่เกิดจากภาวะสารต้านอนุมูลอิสระผิดปกติได้ เนื่องจากลักษณะของสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นคล้ายคลึงกัน จึงสามารถให้ประโยชน์ในการต้านสารอนุมูลอิสระที่คล้ายคลึงกับถั่วชนิดอื่น ๆ ได้  และพบว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วแล้ว จะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลดิบ แต่ผลการศึกษาเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นยังมีน้อยเกินไป จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป สรุป เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ และโพลีฟีนอล ซึ่งทั้ง 2 ประเภทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยลดการอักเสบ และป้องกันโรคได้ อย่างไรก็ตามยังต้องมีการศึกษาวิจัยเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มเติมCashew Nuts

เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบตัวช่วยในการลดน้ำหนัก

ถั่วอุดมไปด้วยแคลอรี่ และไขมัน ดังนั้นผู้ที่กำลังลดน้ำหนักจึงมักได้รับคำแนะนำให้ควบคุมปริมาณถั่วในอาหาร อย่างไรก็ตามมีผลการวิจัยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารที่มีถั่วเป็นส่วนประกอบกับความสามารถในการลดน้ำหนัก น้ำหนักผู้ที่รับประทานถั่วจะลดได้มากกว่าผู้ที่ไม่กินถั่ว งานวิจัยบางชิ้นจะอธิบายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ช่วยให้ร่างกายรับแคลอรี่ได้น้อยลง  ในทางกลับกัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วหรือบดถั่วสามารถช่วยให้ร่างกายย่อยถั่วได้เต็มที่ เป็นการเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่สามารถดูดซึมได้ การลดน้ำหนักด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบจึงอาจดีที่สุด แต่ยังต้องมีผลการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลดังกล่าว  และยังอาจทำให้สูญเสียประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วได้ นอกจากปริมาณแคลอรี่ที่ต่ำแล้ว ถั่วยังอุดมไปด้วยโปรตีนและไฟเบอร์ซึ่งทราบกันดีว่าจะช่วยลดความหิว และช่วยให้อิ่มได้นาน ซึ่งทั้ง 2 คุณสมบัติสามารถสนับสนุนการลดน้ำหนักได้  เม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้แคลอรี่ต่ำ มีปริมาณไฟเบอร์ และโปรตีนในปริมาณสูง สามารถช่วยลดความอยากอาหาร และทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ลดน้ำหนักส่วนเกินได้

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้ผลดีต่อสุขภาพหัวใจ

อาหารที่อุดมไปด้วยถั่ว อย่างเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค อย่างโรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ ผลการศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และยังพบว่าผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ที่บริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ให้แคลอรี่ 10% ต่อวัน จะมีระดับคอเลสเตอรอลชนิด LDL (ไม่ดี) ที่ต่ำ และมี HDL (ดี) ดีกว่าผู้ที่ไม่กินเม็ดมะม่วงหิมพานต์เลย อัตราส่วนระหว่าง LDL ที่น้อยกว่า HDL จะส่งผลให้สุขภาพหัวใจดีได้ ผลการศึกษาอีก 2 ชิ้น แสดงความสัมพันธ์ระหว่างบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับระดับ HDL ที่เพิ่มขึ้น และลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมด และ LDL ได้ แต่ก็มีผลการวิจัยที่ขัดแย้งกัน โดยพบว่าการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นประจำสามารถลดความดันโลหิต และระดับไตรกลีเซอไรด์ได้ แต่ไม่มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมด LDL หรือ HDL และยังมีผลการวิจัยอื่นที่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของระดับคอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์หลังบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1–3.8 ออนซ์ (28–108 กรัม) ต่อวันเป็นเวลานาน 4-12 สัปดาห์ นักวิจัยแนะนำว่าผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกันนี้ อาจเกิดจากผลการศึกษาที่น้อยเกินไป และจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่น้อยเกินไป จึงสรุปว่าแม้ว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของหัวใจเหมือนกับถั่วชนิดอื่น ๆ แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีผลการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผลลัพธ์นี้ นอกจากนี้ยังพบผลการวิจัยที่แตกต่างกันของผู้เข้าร่วมการทดสอบเหล่านี้ อย่างไรก็ตามแนะนำให้ลองเปลี่ยนของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มาเป็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์แทน 

ประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2

ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 อาจได้ประโยชน์จากการรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้ สาเหตุหนึ่งคือเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นแหล่งเส้นใยอาหารที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่สามารถป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ต่อระดับน้ำตาลในเลือดยังมีค่อนข้างน้อย ผลการศึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภท 2 ที่กินเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ให้แคลอรี่ 10% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน จะมีระดับอินซูลินลดลง ซึ่งแสดงว่าสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้กินเม็ดมะม่วงหิมพานต์เลย นอกจากนี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ยังมีคาร์โบไฮเดรตสุทธิที่ 8 กรัมต่อเม็ด น้อยกว่าคาร์โบไฮเดรตจากน้ำตาล 2 กรัม ปริมาณคาร์โบไฮเดรตสุทธิ หมายถึงปริมาณคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดในอาหารที่หักออกจากปริมาณไฟเบอร์ที่มีอยู่ – เป็นปริมาณคาร์โบไฮเดรตสุทธิที่ร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้จริง การกินเม็ดมะม่วงหิมพานต์ซึ่งเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลสุทธิสูง มีแนวโน้มที่จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบคุณประโยช์ของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่มีต่อผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีน้ำตาลต่ำ และอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 นี้ เมื่ออยู่ร่วมกันสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 ได้ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณประโยชน์นี้

นำมาประกอบเป็นอาหารได้ง่าย

เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นอาหารที่นำมารับประทานได้ง่าย สามารถรับประทานได้ทั้งแบบดิบหรือคั่วสุก ทั้งยังเป็นของว่างที่พกพาได้สะดวก เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทั้งเม็ดหรือบด สามารถนำไปประกอบเป็นอาหารได้หลากหลาย ตั้งแต่ไข่กวนเต้าหู้ นำไปผัด ปรุงเป็นซุป ทำสลัดและสตูว์ก็ได้ เนยถั่วจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็เป็นอีกวิธีที่สามารถนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาบริโภคในมื้ออาหาร นำมาทาบนขนมปังปิ้ง หรือคนให้เข้ากันกับโยเกิร์ต หรือข้าวโอ๊ต และยังสามารถนำเนยถั่วจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาผสมร่วมกับข้าวโอ๊ตและผลไม้แห้งที่ชอบ เพื่อทำ Energy ball แบบโฮมเมดที่ไม่ต้องอบได้อีกด้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์สามารถแช่น้ำจนนิ่มแล้วปั่นร่วมกับน้ำส้มสายชู แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำมะนาวเพื่อนำไปทำเป็นครีมเปรี้ยว หรือครีมชีสโดยไม่ใส่นมก็ได้ ส่วนประกอบนี้จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับมื้ออาหาร หรือนำไปทำเป็นขนมที่ชอบโดยไม่ใส่นมได้ แต่เม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วและปรุงให้เค็มบางชนิดอาจมีน้ำมันและเกลือในปริมาณมาก หากผู้บริโภคต้องการควบคุมการบริโภคเกลือหรือไขมัน ก็ควรพิจารณาเลือกมะม่วงหิมพานต์คั่วโดยไม่ใช้น้ำมัน หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบแบบไม่ใส่เกลือแทน สรุป เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นอาหารที่สามารถปรุงได้หลากหลาย รับประทานแต่เม็ดมะม่วง หรือนำไปเป็นส่วนประกอบในอาหารจานโปรด หรือทำเป็นซอสเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และขนมหวานก็ได้ ควรเลือกเม็ดมะม่วงที่คั่วโดยไม่ใช้น้ำมัน หรือแบบดิบที่ไม่ใส่เกลือเพื่อคุณประโยชน์ที่ดี

ข้อเสียของเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นอาหารที่ปลอดภัยสำหรับผู้คนส่วนมาก แต่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดในน้ำมันหรือมีรสเค็มอาจมีน้ำมันหรือเกลือในปริมาณที่สูง จึงควรเลือกเม็ดมะม่วงแบบคั่วโดยไม่ใช้น้ำมัน หรือแบบดิบแทน งานวิจัยระบุว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วอาจมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพในระดับที่สูงกว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์แบบดิบ ลองคั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบที่บ้านโดยไม่ต้องใช้น้ำมันได้ หรือโดยการนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบมาใส่ในถาดอบเกลี่ยให้เต็มถาด จากนั้นนำไปอบที่ 350 ° F (188° C)  บริเวณจุดกึ่งกลางของเตาอบนาน 8–15 นาที คอยคนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ในช่วงที่อบไปแล้ว 3–5 นาที เพื่อไม่ให้ถั่วไหม้ ปรุงสุกอีกวิธีหนึ่งคือนำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ลงในกระทะ ใช้ไฟปานกลางนาน 3-5 นาที หรือจนกว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะกลายเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ นอกจากนี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ยังมีไฟเตตซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุได้ยากขึ้น การแช่ถั่วค้างคืนก่อนนำมาปรุงเป็นอาหาร จะช่วยลดปริมาณไฟเตต และช่วยให้ย่อยง่ายอีกด้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์คือถั่วจากต้นไม้ ผู้ที่แพ้ถั่วจากต้นไม้ อย่างอัลมอนด์ ถั่วบราซิล พีแคน พิสตาชิโอ วอลนัท หรือเฮเซลนัท อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภูมิแพ้จากเม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้ สรุป เม็ดมะม่วงหิมพานต์โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย เพื่อประโยชน์ที่ดีควรพิจารณาเลือกกินเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ แบบไม่เติมเกลือ และแช่น้ำก่อนนำมารับประทาน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่อบแห้งแล้วจะช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระได้

ข้อควรระวังของการทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์

เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นของว่างยอดนิยมและมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่มีบางสิ่งที่ต้องระวังเมื่อหยิบจับหรือบริโภค:
  • โรคภูมิแพ้:เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นสารก่อภูมิแพ้ทั่วไป ผู้ที่แพ้ถั่วเปลือกแข็งก็อาจจะแพ้เม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้วย อาการแพ้อย่างรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ คำนึงถึงอาการแพ้เสมอเมื่อเสนอหรือบริโภคเม็ดมะม่วงหิมพานต์
  • ความเป็นพิษของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ:เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบมี urushiol ซึ่งเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่พบในไม้เลื้อยพิษ สารประกอบนี้สามารถทำให้เกิดผื่นผิวหนังหรือปฏิกิริยาได้ เพื่อความปลอดภัย เม็ดมะม่วงหิมพานต์มักจะผ่านกระบวนการให้ความร้อนเพื่อเอาอูรูชีออลออก ตรวจสอบให้แน่ใจเสมอว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ได้รับการประมวลผลอย่างเหมาะสมก่อนการบริโภค
  • การปนเปื้อนของอะฟลาทอกซิน:การจัดเก็บหรือแปรรูปที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่การปนเปื้อนของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้วยอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่ผลิตโดยแม่พิมพ์บางชนิด การได้รับสารอะฟลาทอกซินอาจเป็นอันตรายและอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้ ซื้อเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากแหล่งที่มีชื่อเสียงและตรวจสอบสัญญาณการเน่าเสียก่อนบริโภค
  • ปริมาณไขมันสูง:เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีไขมันสูง แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพก็ตาม สำหรับผู้ที่รับประทานไขมัน การควบคุมสัดส่วนถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคแคลอรี่ส่วนเกิน
  • กลิ่นหืน:เช่นเดียวกับถั่วอื่นๆ เม็ดมะม่วงหิมพานต์สามารถเหม็นหืนได้เนื่องจากมีปริมาณน้ำมันสูง การเก็บรักษาอย่างเหมาะสมในภาชนะสุญญากาศในที่แห้งและเย็นสามารถช่วยป้องกันกลิ่นหืนได้ ตรวจสอบสัญญาณของการเน่าเสียก่อนบริโภค เช่น กลิ่นหรือรสชาติที่หายไป
  • อันตรายจากการสำลัก:โดยทั่วไปแล้วเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะบริโภคทั้งหมดหรือเป็นชิ้น สำหรับเด็กเล็กหรือบุคคลที่มีปัญหาในการเคี้ยว ถั่วทั้งเมล็ดอาจทำให้เกิดอันตรายจากการสำลักได้ แนะนำให้สับหรือบดสำหรับผู้ที่อาจมีปัญหาในการรับประทานถั่วทั้งเมล็ด
ซื้อเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากแหล่งที่เชื่อถือได้เสมอ จัดเก็บอย่างเหมาะสม และคำนึงถึงอาการแพ้หรือสารปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นเพื่อให้ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพจากถั่วแสนอร่อยเหล่านี้อย่างเต็มที่

ใจความสำคัญ

เม็ดมะม่วงหิมพานต์อุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย ถั่วเม็ดมะม่วงหิมพานต์อาจช่วยสนับสนุนการลดน้ำหนัก การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และบำรุงสุขภาพของหัวใจ แต่งานวิจัยเกี่ยวกับเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นยังมีน้อยกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการศึกษาเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณประโยชน์เหล่านี้ ข้อเสียของเม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นมีเล็กน้อย จึงควรเลือกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คั่วแบบไม่ใส่น้ำมัน ไม่เติมเกลือ หรือแบบดิบแทน

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.webmd.com/diet/health-benefits-cashews#1
  • https://www.goodhousekeeping.com/health/diet-nutrition/a34898785/cashew-nutrition-health-benefits/
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด