สารสเตียรอยด์อันตรายหรือไม่ (Are Steroids Bad for You)

ผู้เขียน Dr. Wikanda Rattanaphan
0
สารสเตียรอยด์อันตรายหรือไม่
เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและพลังของกล้ามเนื้อที่เกินขีดจำกัดตามธรรมชาติบางคนหันไปใช้สาร เช่น อะนาโบลิก – แอนโดรเจนสเตียรอยด์ (Anabolic-androgenic steroids หรือ AAS) Anabolic หมายถึง การส่งเสริมการเจริญเติบโต ในขณะที่ Androgenic หมายถึงการพัฒนาลักษณะทางเพศของผู้ชาย ในขณะที่ความสามารถในการสร้างกล้ามเนื้อของสเตียรอยด์ได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี แต่ก็มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลายประการ บทความนี้จะทบทวนเกี่ยวกับสารอะนาโบลิก – แอนโดรเจน สเตียรอยด์ รวมถึงการใช้ ผลข้างเคียงอันตรายและสถานะทางกฎหมาย

ยาสเตียรอยด์คืออะไร 

อะนาโบลิก – แอนโดรเจน สเตียรอยด์ (AAS) เป็นรูปแบบสังเคราะห์ของฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย พวกมันส่งผลต่อส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ รูขุมขน กระดูก ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ และระบบประสาท มนุษย์ผลิตฮอร์โมนสเตียรอยด์ ธรรมชาติได้เอง ในผู้ชาย ระดับของสเตียรอยด์ฮอร์โมนนี้จะเพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาลักษณะทางเพศของผู้ชาย เช่น การเจริญเติบโตของร่างกาย เสียงที่ลึกขึ้น ความต้องการทางเพศ ความสูงและมวลกล้ามเนื้อที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ผู้หญิงก็ผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ด้วย แต่ในปริมาณที่น้อยกว่ามาก มันทำหน้าที่หลายอย่างสำหรับผู้หญิง ส่วนใหญ่คือการส่งเสริมความหนาแน่นของมวลกระดูกและความต้องการทางเพศ ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรน(testosterone levels) ปกติอยู่ในช่วง 300–1,000 ng/dL สำหรับผู้ชายและ 15–70 ng/dL สำหรับผู้หญิง การกินยาสเตียรอยด์จะเพิ่มระดับของฮอร์โมนนี้ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบ เช่น การเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สรุป สเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรนในรูปแบบสังเคราะห์ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่ผลิตขึ้นตามธรรมชาติของทั้งเพศชายและหญิง การทานสเตียรอยด์จะเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายทำให้เกิดผลกระทบ เช่น มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

การฉีดสเตียรอยด์หรือการรับสเตียรอยด์และประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อคุณนึกถึงสารสเตียรอยด์สิ่งแรกที่ควรนึกถึง คือ การใช้ในการเพาะกาย เพื่อส่งเสริมการเพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อ แม้ว่านี่จะเป็นการใช้งานที่พบได้ทั่วไป แต่สเตียรอยด์ ถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆด้วย ประโยชน์หลักของอะนาโบลิก สเตียรอยด์มีดังต่อไปนี้:
  • การเพิ่มขึ้นของกล้ามเนื้อ เนื่องจากมีการสังเคราะห์โปรตีนเพิ่มขึ้นและทำให้ลดไขมันในร่างกาย
  • เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • เพิ่มการฟื้นตัวจากการออกกำลังกายและการบาดเจ็บ
  • เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก
  • ความอดทนของกล้ามเนื้อดีขึ้น
  • เพิ่มการผลิตเม็ดเลือดแดง
ผลที่เกิดขึ้นอาจเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มคนหลายๆกลุ่ม

นักกีฬาที่ต้องการเพิ่มความเร็วและพละกำลัง

ในโลกของกีฬา นักกีฬามักมองหาวิธีที่จะได้เปรียบในการแข่งขัน ในขณะที่การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงและการปรับสภาพกล้ามเนื้อขั้นสูง ตลอดจนโภชนาการนั้นพัฒนาไปได้ไกล แต่นักกีฬาบางคนก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการใช้ยาเพิ่มประสิทธิภาพหรือสารกระตุ้น (performance-enhancing drugs,PED) AAS เป็นหนึ่งใน PED หลักๆที่นักกีฬาใช้ เพราะสามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มความเร็วและการเพิ่มขึ้นของพลังงาน นักกีฬาที่ใช้ AAS จะมีความแข็งแรงมากขึ้นร้อยละ 5-20 และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 4.5-11 ปอนด์ (2-5 กก.) ซึ่งอาจจะเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของมวลกล้ามเนื้อ ในกีฬาที่มีการแข่งขัน การให้ยาสเตียรอยด์มีแนวโน้มที่ค่อนข้างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้มากขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและเพิ่มพละกำลัง แม้ว่าสหพันธ์กีฬาส่วนใหญ่จะห้าม AAS แต่นักกีฬาบางคนก็รู้สึกว่า ความเสี่ยงที่จะถูกจับนั้นคุ้มค่ากับผลที่ได้รับ

นักกีฬาที่ต้องการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรง

เมื่อพูดถึงกีฬาที่ต้องใช้ความแข็งแรง รวมไปถึงการเพาะกาย การใช้กำลังยกและการยกน้ำหนักในโอลิมปิก มีการใช้สารสเตียรอยด์กันอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อความแข็งแรงและเพิ่มพละกำลัง ในกีฬาเหล่านี้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ขนาดกล้ามเนื้อและพลัง มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสิทธิภาพโดยรวม ในขณะที่เป้าหมายของการเพาะกายคือการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้ได้สูงสุด ความแข็งแรงและขนาดของกล้ามเนื้อมีความสำคัญอย่างมาก การใช้ยา AAS ในกีฬาประเภทพละกำลังมีแนวโน้มที่จะเสรีมากขึ้น เนื่องจากสหพันธ์กีฬาหลายแห่งไม่ได้มีการทดสอบสารเหล่านี้และสารอื่นๆ ในขณะที่อาจเห็นผลมากขึ้นเมื่อใช้ในปริมาณที่สูงขึ้น แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ผู้ใช้หลายคนในกลุ่มนักกีฬายังใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “Stacking” ซึ่งเป็นคำแสลงในการผสม AAS หลายๆประเภทเข้าด้วยกัน และนักกีฬาบางคนยังมีการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์อื่นๆ เช่น ฮอร์โมนการเจริญเติบโตและอินซูลินร่วมด้วย

ในผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อฝ่อ (Muscle-Wasting Diseases)

หลายโรคอาจทำให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้ เช่นโรคเอดส์ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มะเร็ง โรคไต และตับ  AASสามารถใช้ในผู้ป่วยเหล่านี้เพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อในผู้ป่วยโรคเหล่านี้สามารถทำให้เสียชีวิตได้และการป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อฝ่อสามารถช่วยยื้อชีวิตของผู้ป่วยได้ แม้ว่าการใช้ AAS ไม่ใช่วิธีเดียวในการรักษามวลกล้ามเนื้อ แต่ก็อาจเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเหล่านี้ ถึงกระนั้นก็ต้องคำนึงถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นด้วย สรุป  การใช้สารสเตียรอยด์โดยทั่วไปได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกีฬา การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้กับนักกีฬาที่ต้องใช้ความแข็งแรงและการรักษามวลกล้ามเนื้อในผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อฝ่อAre Steroids Bad for You

ผลข้างเคียงที่เป็นไปได้

แม้จะมีประโยชน์ แต่ AAS ก็มีผลข้างเคียงที่เป็นไปได้หลายประการ ซึ่งความรุนแรงจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณที่คุณใช้สารเหล่านี้ พันธุกรรมของแต่ละบุคคลมีผลต่อการตอบสนองต่อ AAS อัตราส่วน อะนาโบลิก – แอนโดรเจน (anabolic-to-androgenic ratio) แตกต่างกันไประหว่าง AAS แต่ละประเภท ซึ่งอาจส่งผลต่ออาการไม่พึงประสงค์ที่แตกต่างเช่นกัน Anabolic หมายถึงคุณสมบัติเติบโตของกล้ามเนื้อ ขณะที่ androgenic หมายถึงการส่งเสริมลักษณะเพศชาย ผลข้างเคียงหลักที่เกี่ยวข้องกับการใช้ AAS มีดังต่อไปนี้:
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ การใช้สาร AAS ร่วมกับการออกกำลังกายสามารถเพิ่มขนาดของหัวใจด้านล่างซ้ายรวมทั้งเพิ่มโอกาสในการเป็นความดันโลหิตสูงด้วย อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและการเสียชีวิต
  • สามารถเพิ่มพฤติกรรมก้าวร้าว การใช้สเตียรอยด์เกี่ยวข้องกับความก้าวร้าวที่เพิ่มขึ้นและหุนหันพลันแล่นในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ชาย
  • อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของร่างกาย การใช้และการพึ่งพา AAS จัดเป็นความผิดปกติในการมองภาพตัวเอง (body image disorder) ซึ่งเป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง
  • อาจทำให้ตับถูกทำลาย โดยเฉพาะผู้ที่นำมารับประทานสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการทำงานผิดปกติของตับได้
  • อาจทำให้เกิดภาวะนมโตในผู้ชาย 
  • ลดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย การใช้สเตียรอยด์สามารถทำให้เกิดภาะฮอร์โมนเพศชายต่ำ (Hypogonadism) ซึ่งทำให้การทำงานของอัณฑะลดลง
  • อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก  เนื่องจากศักยภาพในการผลิตอสุจิลดลง
  • อาจทำให้ศีรษะล้าน ผลของแอนโดรเจนใน AAS อาจทำให้ศีรษะล้าน ผลกระทบนี้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้

ผลข้างเคียงสำหรับผู้หญิง

ในขณะที่ผลข้างเคียงข้างต้นสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ชายและผู้หญิง แต่ผู้หญิงควรระวังสิ่งอื่นๆเพิ่มเติมด้วย ได้แก่ :
  • เสียงที่ลึกขึ้น
  • มีการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า และการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • คลิตอริสโตขึ้น (enlarged clitoris)
  • ประจำเดือนมาผิดปกติ
  • ขนาดเต้านมลดลง
  • เกิดภาวะมีบุตรยาก
สรุป การใช้สารสเตียรอยด์ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจและเป็นพิษต่อตับ ผลข้างเคียงเพิ่มเติมที่พบได้ในผู้หญิงที่ใช้ AAS ดังระบุข้างต้น

เป็นสารอันตราย

การใช้สาร AAS มีความเสี่ยงหลายประการที่ทำให้เป็นอันตราย แม้ว่าวิธีการบางอย่างสามารถลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างเต็มที่

การตรวจเลือดบ่อยๆเป็นสิ่งที่สำคัญ

การใช้สาร AAS อาจส่งผลต่อค่าแลปหลายอย่าง ทำให้การตรวจเลือดบ่อยๆเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน การใช้สารสเตียรอยด์อาจส่งผลต่อค่าแลปต่อไปนี้ :
  • สามารถเพิ่มฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) และฮีมาโตคริตv(Hematocrit) ซึ่งเม็ดเลือดเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย การเพิ่มขึ้นสามารถทำให้เลือดของคุณข้นขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง 
  • สามารถลด HDL (ไขมันดี) และเพิ่ม LDL (ไขมันไม่ดี)  ซึ่งระดับ HDL ที่ลดลงและระดับ LDL ที่สูงขึ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
  • ค่าการทำงานของตับลดลง การใช้ AAS ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ aspartate transaminase (AST) และ alanine transaminase (ALT) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการทำงานของตับ ระดับที่สูงขึ้นอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของตับ
คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มใช้ยาทุกชนิด 

ความเสี่ยงในการติดเชื้อ

เมื่อรับประทาน AAS มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูง เนื่องจากสารสเตียรอยด์จำนวนมากผลิตในห้องปฏิบัติการที่ผิดกฎหมายซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง สำหรับสเตียรอยด์ที่ต้องฉีดมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนและการติดเชื้อเพิ่มขึ้น เมื่อจัดหา AAS ในตลาดมืด มีโอกาสที่จะติดฉลากผิดหรือได้สารปลอมซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

เป็นสารที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ

สถานะทางกฎหมายของ AAS จะแตกต่างกันไปตามประเทศและภูมิภาค ในหลายประเทศถูกจัดว่าเป็นสารที่ผิดกฎหมาย หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การรักษา  วิธีเดียวที่จะได้รับและใช้ AAS อย่างถูกกฎหมายคือต้องให้แพทย์สั่งตามเงื่อนไขบางอย่าง เช่น ฮอร์โมนเพศชายต่ำหรือโรคกล้ามเนื้อฝ่อ ผู้ที่เลือกใช้สิ่งเหล่านี้อย่างผิดกฎหมายทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงต่อผลทางกฎหมาย

อาจจะเป็นการเสพติดทางจิตใจ

แม้ว่า AAS ไม่จัดเป็นสารเสพติดต่อทางร่างกาย การใช้อย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดการเสพติดทางจิตที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ธรรมดาผลข้างเคียงทางจิตเวชในการใช้ AAS อาจเป็น Dysmorphia หรือความรู้สึกที่ไม่พึงพอใจในรูปร่างและหน้าตาของตนเอง จนอาจทำให้ผู้ใช้ AAS กลายเป็นคนหมกมุ่นอยู่กับการมีกล้ามเนื้อในร่างกาย สรุป การใช้สารสเตียรอยด์เป็นอันตรายจากหลายสาเหตุรวมถึงความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ มีสถานะที่ผิดกฎหมายในหลายประเทศ และอาจเกิดการเสพติดทางจิตใจ การตรวจเลือดบ่อยๆเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจสอบผลเสียต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น

มีปริมาณที่ปลอดภัยหรือไม่ 

การใช้ AAS ในปริมาณที่ต่ำและมีการคำนวณปริมาณอย่างดีจะทำให้ปลอดภัยกว่าปริมาณที่ไม่ได้ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มีการศึกษาใดที่เปรียบเทียบความปลอดภัยของปริมาณสเตียรอยด์ที่แตกต่างกัน ฮอร์โมนเพศชายสังเคราะห์ (Synthetic testosterone) ยังใช้ในการรักษาผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายต่ำ ซึ่งเรียกว่าการบำบัดทดแทนฮอร์โมนเพศชาย (testosterone replacement therapy ,TRT) TRT โดยทั่วไปปลอดภัยสำหรับผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำเมื่อให้ยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ข้อมูลความปลอดภัยของ TRT สำหรับใช้ในผู้หญิงยังมีไม่เพียงพอ ปริมาณที่สูงที่ใช้กันทั่วไปในนักกีฬา มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นของผลข้างเคียงและถือเป็นอันตราย การใช้สาร AAS โดยไม่คำนวนปริมาณ มักมีระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้น การตอบสนองต่อ AAS แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เนื่องจากความแตกต่างของรูปแบบทางพันธุกรรม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทราบว่าร่างกายของคุณจะตอบสนองสารอย่างไร สรุป  การใช้ในปริมาณที่ต่ำและควบคุมได้ สามารถใช้ในการบำบัดทดแทนฮอร์โมนเพศชายได้ถือว่ามีความปลอดภัยสำหรับผู้ชายที่มีฮอร์โมนเพศชายต่ำ แต่การรับประทานสเตียรอยด์ในปริมาณที่สูงอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ผลข้างเคียงที่รุนแรงมากขึ้นเป็นผลมาจากปริมาณการใช้ที่สูงขึ้น

สเตียรอยด์ประเภทอื่นๆ

ในขณะที่ AAS เป็นสารที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวาง แต่ก็มีอีกหลากหลายชนิดที่เรียกว่ากลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoids) หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติโดยผลิตที่ต่อมหมวกไต ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนของไต สารทั้งสองชนิดนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งควบคุมการอักเสบ การสังเคราะห์สารเหล่านี้มักจะใช้รักษาโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำงานสูงกว่าปกติ  เช่น ในขณะเดียวกัน แม้จะทำงานได้ดีในการควบคุม รักษาอาการเจ็บป่วย แต่สารทั้งสองชนิดนี้ก็สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และน้ำหนักเพิ่ม ด้วยเหตุนี้จึงควรใช้ในระดับการอักเสบปานกลางถึงการอักเสบรุนแรง เท่านั้น สรุป คอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นสเตียรอยด์อีกประเภทหนึ่งที่ผลิตตามธรรมชาติในร่างกายของคุณ เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบจากการทำงานของภูมิคุ้มกัน รูปแบบสังเคราะห์ของสารนี้ใช้เพื่อลดการอักเสบในโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันได้หลายโรค บทส่งท้าย อะนาโบลิก – แอนโดรเจน สเตียรอยด์ (AAS) เป็นรูปแบบของฮอร์โมนเพศชายสังเคราะห์ที่ใช้เพื่อเพิ่มมวลและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ แม้ว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพจะแตกต่างกันไปตามประเภทและปริมาณที่ได้รับ แต่ก็อาจเป็นอันตรายและก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ทุกขนาด นอกจากนี้ยังผิดกฎหมายในหลายประเทศ การใช้ AAS เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างจริงจังมาก และโดยทั่วไปความเสี่ยงมีมากกว่าประโยชน์

ใครที่ไม่เหมาะที่จะใช้สเตียรอยด์

สเตียรอยด์เป็นยาประเภทหนึ่งที่มีการนำไปใช้ทางการแพทย์ที่หลากหลาย และอาจเป็นประโยชน์ต่อสภาวะบางประการได้เมื่อใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามมีสถานการณ์ที่บุคคลควรหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้สเตียรอยด์เนื่องจากความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น. ต่อไปนี้เป็นสถานการณ์บางส่วนที่ควรใช้สเตียรอยด์ด้วยความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยง:
  • โรคภูมิแพ้หรือไวต่อสเตียรอยด์:บุคคลที่ทราบว่ามีอาการแพ้หรือไวต่อสเตียรอยด์หรือส่วนประกอบใด ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้
  • การติดเชื้อ:สเตียรอยด์สามารถกดระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ยากขึ้น หากคุณกำลังมีการติดเชื้อ หรือเพิ่งติดเชื้อมาเมื่อไม่นาน จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้สเตียรอยด์
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร:การใช้สเตียรอยด์ในระหว่างตั้งครรภ์และในขณะที่ให้นมบุตรสามารถใช้ได้เมื่อแพทย์สั่งเท่าน้ัน เนื่องจากอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่กำลังพัฒนา
  • โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้:สเตียรอยด์อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ทำให้เป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ หากผู้ป่วยโรคเบาหวานจำเป็นต้องใช้สเตียรอยด์ การติดตามระดับน้ำตาลในเลือดอย่างใกล้ชิดถือเป็นสิ่งสำคัญ
  • แผลในกระเพาะอาหารหรือปัญหาในกระเพาะอาหาร:สเตียรอยด์สามารถเพิ่มความเสี่ยงของแผลในกระเพาะอาหารและเลือดออกในทางเดินอาหาร บุคคลที่มีประวัติปัญหาเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยง หรือใช้เตียรอยด์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
  • โรคต้อหิน:สเตียรอยด์โดยเฉพาะเมื่อใช้เฉพาะที่ดวงตา อาจเพิ่มความดันในลูกตา ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่เป็นโรคต้อหิน
  • โรคกระดูกพรุน:การใช้สเตียรอยด์ในระยะยาวอาจทำให้กระดูกอ่อนแอลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักได้ บุคคลที่มีประวัติปัญหาเกี่ยวกับกระดูกควรระมัดระวังและหารือเกี่ยวกับทางเลือกอื่นกับแพทย์
  • ความผิดปกติทางจิตเวช:สเตียรอยด์อาจทำให้รุนแรงขึ้นหรือกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติทางอารมณ์ รวมถึงความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ผู้ที่มีประวัติความผิดปกติทางจิตเวชควรใช้สเตียรอยด์ด้วยความระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • ปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไต:บุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไตอยู่แล้วอาจต้องระวังการใช้ยาสเตียรอยด์ เนื่องจากอวัยวะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญและกำจัดยาเหล่านี้
  • สภาวะของหัวใจ:สเตียรอยด์อาจส่งผลต่อความดันโลหิตและความสมดุลของของเหลว ทำให้เสี่ยงต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจบางชนิด ผู้ให้บริการด้านสุขภาพควรพิจารณาความเสี่ยงและผลประโยชน์อย่างรอบคอบ
สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการตัดสินใจใช้สเตียรอยด์ควรปรึกษากับแพทย์  ตลอดจนความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยสเตียรอยด์ของแต่ละบุคคลได้ ในหลายกรณี มีวิธีการรักษาอื่นให้เลือก และการใช้สเตียรอยด์ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยง การสั่งจ่ายยาด้วยตนเองหรือใช้สเตียรอยด์โดยไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเหมาะสมอาจเป็นอันตรายได้และควรหลีกเลี่ยง

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.webmd.com/fitness-exercise/news/20050316/why-steroids-are-bad-for-you
  • https://kidshealth.org/en/teens/steroids.html
  • https://www.mayoclinic.org/steroids/art-20045692
  • https://www.nhs.uk/conditions/steroids/
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด