คุณไม่ค่อยพูดหรอ” และ “ทำไมคุณเงียบจัง” เป็นคำถามทั่วไป (รวมถึงคำถามอีกมากมาย) ที่คนที่มีบุคลิกภาพแบบ เก็บตัว หรือ Introvert มักจะได้ยินตลอดชีวิตของพวกเขามากกว่าหนึ่งครั้ง และเราก็มักจะต่อต้านด้วยการถอนหายใจดัง ๆ มองบนหรือตอบกลับไปว่า “ทำไมคุณไม่พูดให้น้อยลงหละ”
ความเข้าใจผิดทั่วไปและไม่ยุติธรรมเกี่ยวกับคนเก็บตัวคือการที่เราถูกมองว่าเป็นพวกที่ไม่พูดคุยกัน จริงๆแล้วพวกเราทำ เราสามารถพูดคุยกันได้อย่างเมามันส์ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม แต่คุณต้องรู้ว่ามันคืออะไร และเมื่อคุณเข้าใจเราแล้ว คุณอาจจะทำอย่างไรให้พวกเราหยุดพูดสักที ดังนั้นหากมีคนที่มีบุคลิกเก็บตัวในชีวิตของคุณ คุณจำเป็นต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเบื้องหลังพฤติกรรมที่ดูเงียบงันของพวกเขา และต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
1. ให้เวลาพวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกับคุณ พวกเขาต้องรู้จักคุณสักหน่อยก่อน
การให้เวลาจะทำให้พวกเขาสบายใจ คุณจะต้องมีความอดทนในส่วนของคุณ เนื่องจากคนที่มีบุคลิกเก็บตัว มักจะเป็นคนที่ค่อข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง พวกเขาจึงไม่เปิดใจรับคนใหม่ทันที แต่พวกเขาจะหลงใหลกับคนที่สามารถเริ่มแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของพวกเขากับคนแปลกหน้าได้เสมอ พวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่จะสามารถเริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวมากมายให้ใครฟัง เช่น ปัญหาความสัมพันธ์ของพวกเขา พวกเขาจะคิดว่า “ฉันยังไม่รู้จักนามสกุลของคุณเลย ทำไมคุณถึงต้องเล่าให้ฉันฟัง” หากคุณทำแบบนั้น คุณอาจมีพลังมากขึ้น แต่พวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควรในการเปิดใจและแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ มันเหมือนกับการพาทารกไปอาบน้ำ: คุณไม่สามารถหย่อนพวกเขาลงไปได้เลย คุณต้องทำให้พวกเขาสบายตัวก่อน ดังนั้นให้เวลาพวกเขาเพื่อดูว่าคุณเป็นคนที่ควรค่าแก่การแบ่งปันด้วยแล้วพวกเขาก็จะพูดคุยกับคุณ2. ให้พวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาสบายใจ(คำใบ้: ต้องไม่ใช่บาร์หรือคลับที่มีผู้คนพลุกพล่าน)
เช่นเดียวกับคนอื่นๆ สภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญเช่นกันว่าพวกเขาจะพูดออกมาหรือไม่ ไม่น่าเป็นไปได้ที่คุณจะเจอพวกเขาในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น บาร์หรือคลับ แต่ถ้าฉันอยู่ที่นั่น (ใครจะรู้ว่าทำไม บางทีฉันอาจถูกกดดันจากเพื่อนฝูง) ก็ให้รู้ว่าพวกเขาไม่ชอบแน่ๆ ไหนจะทั้ง เสียงดัง ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว และเสียงกรีดร้องของผู้คนในนั้น นั่นเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ที่สุดสำหรับคนที่มีบคลิกภาพแบบเก็บตัวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเก็บตัวที่อ่อนไหวง่าย พวกเขาชอบสภาพแวดล้อมที่สงบและถูกกระตุ้นน้อยที่สุด เช่น สวนสาธารณะหรือร้านหนังสือที่เงียบสงบ ถ้าพวกเขาได้อยู่ในที่เหล่านั้น พวกเขาจะสามารถจดจ่อและสามารถพูดคุยกับคุณได้อย่างลึกซึ้งจนคุณต้องตกใจเลย3. รอจนกว่าพวกเขาจะมีพลังที่จะเปิดใจ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่หลังเลิกงาน
เวลาสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก หากพวกเขาหมดพลัง ไม่ว่าจะจากงานหรือจากการอยู่สังคมเป็นเวลานาน ตัวอย่างเช่น พวกเขาทำงานกับเด็กก่อนวัยเรียนและมันเหนื่อยมาก พวกเขาต้องใช้เวลาพักฟื้นเพราะพวกเขาเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจหลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย และในฐานะที่เป็นคนเก็บตัว พวกเขาจะเหนื่อยง่ายกว่าคนอื่นเวลาที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนานๆ และต้องการเวลาพักฟื้น เมื่อถึงวันที่เครียดเป็นพิเศษ พวกเขาจะต้องการความสงบและเงียบเพื่อฟื้นตัว นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องการ พื้นที่ส่วนตัว ถ้าพวกเขาเหนื่อยจริงๆ พวกเขาจะไม่สามารถแม้แต่จะสร้างประโยคในสมองได้ ดังนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะอยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าสังคมได้ พวดเขาต้องการผ่อนคลายจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในครั้งก่อนๆ เพื่อเริ่มต้นใหม่ ดังนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกคุณเข้าหาพวกเขาได้ถูกเวลา4. นำเสนอหัวข้อที่ต้องใช้ความครุ่นคิดมากกว่าหัวข้อทั่วไป
คนเก็บตัวไม่เกลียดการพูด เราเกลียดการพูดคุยเล็ก ๆ เนื่องจากนั่นคือสิ่งที่การสนทนาส่วนใหญ่ประกอบด้วย เราจึงถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่ชอบพูดอย่างไม่ถูกต้อง และนั่นไม่เป็นความจริง คนเก็บตัวมักจะคิดอย่างลึกซึ้งและเราต้องการให้สนทนาของเราสะท้อนถึงสิ่งนั้น เราชอบพูดถึงเรื่องที่ครุ่นคิดและสำคัญหัวข้อที่มีน้ำหนักและความหมาย สำหรับพวกเขา การพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ นั้นไม่มีสาระ และพวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับบทสนทราเหล่านั้นเท่าไหร่นัก คุณจะไม่ได้ยินอะไรมากมายจากคนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตัวในกลุ่มของคุณ แต่พวกกเขาจะนำเสนอสิ่งที่น่าสนใจหรือสิ่งเกี่ยวข้องกับพวกเขา เช่น หนังสือดีๆ หรืองานอดิเรกที่พวกเขาชอบ5. การสนทนาแบบตัวต่อตัวนั้นเหมาะสำหรับคนเก็บตัวมากกว่า
พวกเขาไม่ชอบการต้องอยุ๋ในกลุ่มใหญ่ เพราะมีอะไรเกิดขึ้นเยอะเกินไป (มีคนมากเกินไป เกินกว่าจะตามทุกอย่างทัน) และยังต้องดำเนินการต่างๆอีกมากมาย การสนทนากลุ่มทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนโฟกัสไปมาระหว่างคนหลายคนภายในกลุ่มอย่างต่อเนื่อง มันเหมือนกับการขอให้พวกเขาเล่นกล และแน่นอนพวกเขาทำไม่ได้หรืออาจจะไม่ชอบทำเป็นอย่างมาก และจำไว้ว่าพวกเขานั้นไม่ต้องการที่จะเป็นศูนย์กลางของความสนใจ พวกเขาจะเก่งขึ้นผู้คนกลุ่มเล็กๆ เพราะพวกเขาสามารถติดตามและมีส่วนร่วมในการสนทนาได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้พลังงานทางจิตมากในการมีส่วนร่วมและร่วมพูดคุย มันทำเครียดน้อยลงซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกผ่อนคลาย ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะมีส่วนร่วมมากขึ้นหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น