โรคเฮอร์แปงไจน่าคืออะไร
เฮอร์แปงไจน่า (Hypangina) คือ การมีแผลที่ปาก ในลำคอ ร่วมกับอาการปวดศีรษะ ซึ่งเป็นการติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกับโรคมือเท้าปาก คือ เอนเทอร์ไวรัส
อาการของโรคเฮอร์แปงไจน่ามีอะไรบ้าง
ผู้ป่วยจะแสดงอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-5 วัน อาการที่แสดงนั้นต่างกันออกไปในแต่ละคน ดังนี้:
เมื่อติดเชื้อแล้วประมาณ 2 วันเด็กจะเริ่มมีแผลในปากและคอ โดยปกติแผลจะเป็นสีเทาจาง ๆ และมีขอบแดง แผลเหล่านี้จะหายไปได้ใน 7 วัน
อาการแทรกซ้อนของเฮอร์แปงไจน่ามีอะไรบ้าง
เฮอร์แปงไจน่าเป็นนโรคที่ยังไม่มีวิธีรักษาที่หายขาด แต่ยาต่าง ๆ สามารถช่วยบรรเทาอาการและลดความเร็วของอาการได้ ส่วนมากไวรัสและอาการต่าง ๆ จะหายไปเองใน 1 สัปดาห์ถึง 10 วัน และปกติแล้วจะไม่ค่อยเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ไข้สูงเกิน 39°C
- เจ็บปากและคอนานเกิน 5 วัน
- อาการขาดน้ำ
- ปากแห้ง
- ไม่มีน้ำตา
- เหนื่อยล้า
- ปัสสาวะมีปริมาณน้อย
- ปัสสาวะสีเข้ม
- เบ้าตาลึก
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคนี้คือ ภาวะขาดน้ำ การดูแลรักษาที่เหมาะสมสามารถป้องกันภาวะนี้ได้
เฮอร์แปงไจน่าเกิดจากอะไร
โดยปกติแล้วโรคนี้มีสาเหตุมาจากกลุ่มคอกซากีไวรัสกรุ๊ปเอ อย่างไรก็ตาม กลุ่มคอกซากีไวรัสกรุ๊ปบี เอ็นเทอร์ไวรัส 71 และเอคโคไวรัส สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ได้เช่นกัน การติดเชื้อไวรัสชนิดนี่สามารถแพร่กระจายได้ด้วยการสัมผัสโดยเฉพาะในเด็ก เชื้อนี้อยู่ในสารคัดหลั่งผ่านการจาม ไอ หรือการติดต่อผ่านทางโถสุขภัณฑ์ การล้างมือให้สะอาดจะช่วยลดการติดเชื้อได้ โดยส่วนมากหลังจากที่ได้รับเชื้อแล้ว เด็กจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาสู้กับไวรัสเหล่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อจากไวรัสอื่นก็สามารถทำให้ป่วยได้เช่นกัน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า
เราทุกคนมีโอกาสที่จะติดเชื้อเฮอร์แปงไจน่าได้ แต่ปกติแล้วจะพบการติดเชื้อในเด็กวัย 3-10 ปี พบได้มากในเด็กที่ไปโรงเรียน สถานเลี้ยงเด็ก หรือค่ายต่าง ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงในการติดเชื้อนี้สูงขึ้นในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง .
การรักษาโรคเฮอร์แปงไจน่า
เป้าหมายแรกของการรักษาโรคนี้คือการลดและดูแลอาการของโรค โดยเฉพาะความเจ็บปวดจากบาดแผล แผนการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ อาการ และยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เฮอร์แปงไจน่าคือการติกเชื้อไวรัส ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และยังไม่มียาที่สามารถต้านไวรัสชนิดนี้ แพทย์อาจแนะนำการรักษาเหล่านี้:
การใช้ไอบูโปรเฟน หรือ อะเซตามีโนเฟน
ยาเหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ และลดไข้ได้ ห้ามใช้ยาแอสไพรินในการรักษาการติดเชื้อไวรัสในเด็กและวัยรุ่น เพราะอาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมที่เกิดการบวมและอักเสบของตับและสมองซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
การใช้ยาชาเฉพาะที่
ยาชาบางชนิด เช่น ลิโดเคน สามารถช่วยให้อาการเจ็บคอและปากจากโรคเฮอร์แปงไจน่าดีขึ้นได้ ด้วยการรักษานี้ อาการต่าง ๆ ควรจะหายไปทั้งหมดใน 7 วัน หากอ่การแย่ลง หรือ กินเวลายาวนานกว่า 10 วัน ผู้ป่วยควรพบแพทย์อีกครั้ง
เฮอร์แปงไจน่าสามารถดูแลรักษาที่บ้านได้อย่างไรบ้าง
ในส่วนเพิ่มเติม นอกจากการลดความเจ็บปวดด้วยยาต่าง ๆ ข้างต้น และยาชาเฉพาะที่แล้ว การดูแลตัวเองที่บ้านก็อาจช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน:
การใช้น้ำยาบ้วนปาก
การบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่น ๆ ทุกวัน อาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บในปากและลำคอได้ ซึ่งสามารถบ้วนได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
ดื่มหรือรับประทานของเหลวมากขึ้น
การดื่มของเหลว เช่น นมเย็น ๆ หรือน้ำ ช่วยบรรเทาอาการระหว่างการพักฟื้นได้ ซึ่งรวมไปถึงการรับประทานไอศกรีมที่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอได้ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว และเครื่องดื่มร้อน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
รับประทานอาหารอ่อน
อาหารเผ็ด กรอบ ทอด เค็ม หรืออาหารที่มีความเป็นกรด อาจทำให้อาการเจ็บแย่ลงได้ ควรเลือกที่จะรับประทานอาหารอ่อนแทนจนกว่าแผลจะหาย อาหารเหล่านั้นได้แก่:
-
ผักชนิดต่าง ๆ
-
ข้าว
-
กล้วย
-
ผลิตภัณฑ์นม
-
สมูทตี้
ล้างมือเป็นประจำ
การล้างมือบ่อย ๆ จะช่วยให้ไวรัสไม่แพร่กระจาย เด็กและผู้ใหญ่ควรฝึกวิธีการล้างมือที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจายสู่สมาชิกในครอบครัว ควรทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสร่วมกันเสมอ เช่น ลูกบิดประตู รีโมต ที่ดึงลิ้นชักและตู้เย็น
ภาวะแทรกซ้อนของเฮอร์แปงไจน่า
ภาวะเฮอร์แปงไจ คือการติดเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อเด็กเป็นหลัก และมีลักษณะพิเศษคือเกิดแผลหรือแผลที่เจ็บปวดบริเวณหลังคอและบนเพดานปาก โดยทั่วไปมีสาเหตุมาจากไวรัส Coxsackie แม้ว่า enteroviruses แม้ว่าโรคเฮอร์แปงไจน่ามักจะเป็นโรคที่สามารถกำจัดตัวเองได้และหายไปเองภายในประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้ได้ ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้นได้ค่อนข้างน้อยแต่สามารถเกิดขึ้นได้ และอาจรวมถึง:- ภาวะขาดน้ำ : แผลที่เจ็บปวดในปากอาจทำให้เด็กกินหรือดื่มได้ยาก หากเด็กขาดน้ำเนื่องจากการดื่มน้ำน้อยลง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ การให้น้ำอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญระหว่างการเจ็บป่วย
- การติดเชื้อทุติยภูมิ : แม้ว่าเฮอร์แปงไจนาจะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่แผลในปากสามารถสร้างจุดเริ่มต้นสำหรับแบคทีเรียได้ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิ เช่น คอหอยอักเสบจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส (คออักเสบ) หากอาการของบุตรหลานของคุณแย่ลงหรือไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์
- อาการชักจากไข้ : ในบางกรณี โรคเฮอร์แปงไจนาอาจมีไข้สูงร่วมด้วย ไข้สูงโดยเฉพาะในเด็กเล็กอาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการชักจากไข้ได้ โดยทั่วไปอาการชักเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว แต่อาจเป็นอาการที่น่าตกใจได้
- ภาวะแทรกซ้อนที่พบไม่บ่อย : แม้ว่าจะพบได้น้อยมาก แต่ก็มีรายงานถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส รวมถึงโรคเฮอร์แปงไธน่า สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสหรือไข้สมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องปกติและมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK507792/
-
https://www.medicalnewstoday.com/articles/318506
-
https://www.medicinenet.com/herpangina/article.htm
-
https://medlineplus.gov/ency/article/000969.htm
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team