น้ำมันตับปลา
น้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริมที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย และปรับความดันโลหิตให้ปกติ ในน้ำมันตับปลายังมีวิตามิน A และ D ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ประโยชน์ของน้ำมันตับปลามีดังต่อไปนี้1. มีวิตามินเอและดีสูง
น้ำมันตับปลาส่วนใหญ่สกัดจากตับของปลาคอดแอตแลนติก น้ำมันตับปลาคอดถูกใช้มานานหลายศตวรรษเพื่อบรรเทาอาการปวดข้อ และรักษาโรคกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกระดูกเปราะบางในเด็ก น้ำมันปลาธรรมดาจะสกัดจากเนื้อเยื่อของปลาที่มีน้ำมัน เช่น ปลาทูน่า ปลาเฮอริ่ง ปลาแอนโชวี่ และปลาแมคเคอเรล ในขณะที่น้ำมันตับปลาคอดสกัดจากตับของปลาคอด น้ำมันตับปลา 1 ช้อนชา (5 มล.) ให้ประโยชน์ดังต่อไปนี้ ( 4 )- แคลอรี่: 40
- ไขมัน: 4.5 กรัม
- กรดไขมันโอเมก้า-3: 890 มก.
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว: 2.1 กรัม
- ไขมันอิ่มตัว: 1 กรัม
- ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน: 1 กรัม
- วิตามินเอ: 90% ของปริมาณแนะนำต่อวัน
- วิตามินดี: 113% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
2. อาจลดการอักเสบ
การอักเสบเป็นกระบวนการทางธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อและรักษาอาการบาดเจ็บ น่าเสียดาย ในบางกรณี การอักเสบสามารถดำเนินต่อไปในระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน3. น้ำมันตับปลาอาจปรับปรุงสุขภาพกระดูก
ในน้ำมันตับปลาอาจช่วยยับยั้งโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง น้ำมันตับปลายังเป็นแหล่งของวิตามิน A และ D ที่ดี ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การรักษากระดูกให้แข็งแรงเมื่ออายุมากขึ้นเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากการสูญเสียมวลกระดูกจะเกิดขึ้นหลังจากอายุ 30 ปี โดยเฉพาะในสตรีหลังหมดประจำเดือน อาจส่งผลให้เกิดภาวะกระดูกเปราะได้ น้ำมันตับปลาเป็นแหล่งวิตามินดีที่อาจช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูกที่เกิดขึ้นจากอายุได้ เพราะว่าน้ำมันตับปลาสามารถช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับกระดูกที่แข็งแรงจากลำไส้ได้ดียิ่งขึ้น อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติม ยาบิสฟอสโฟเนต4. น้ำมันตับปลาอาจลดอาการปวดข้อและบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคภูมิต้านตนเองที่ส่งผลให้ข้อต่อเกิดความเสียหาย ขณะนี้ยังไม่มีวิธีรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ แต่จากการวิจัยพบว่าน้ำมันตับปลาอาจช่วยลดอาการปวดข้อและทำให้อาการของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ดีขึ้น เช่น อาการข้อตึง และข้อปวดบวม เมื่อรับประทานน้ำมันตับปลาจะสามารถช่วยให้อาการทุเลาลงได้ เชื่อกันว่ากรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาช่วยลดการอักเสบในข้อต่อและป้องกันความเสียหายของข้อต่อ5. น้ำมันตับปลาอาจสนับสนุนสุขภาพตา
การสูญเสียการมองเห็นเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 285 ล้านคนทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลายประการที่ทำให้คนสูญเสียการมองเห็น แต่สาเหตุหลักสองประการคือ โรคต้อหิน และภาวะจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดจากอายุ ซึ่งโรคเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากการอักเสบเรื้อรัง ดังนั้นกรดไขมันโอเมก้า 3 และวิตามินเอในน้ำมันตับปลาสามารถป้องกันโรคตาที่เกิดจากการอักเสบได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูงอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อหินและ และโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ได้ เมื่อเทียบกับอาหารที่มีวิตามินเอต่ำกว่า6. อาจลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนกว่า 17.5 ล้านคนต่อปี จากการวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานปลาเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้มากกว่า ด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์มากมายต่อหัวใจ ดังนี้:- ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์:กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาอาจลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือด 15–30%
- ลดความดันโลหิต:กรดไขมันโอเมก้า 3 อาจลดความดันโลหิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลสูง
- ช่วยเพิ่มไขมันดี :กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาสามารถเพิ่มไขมันที่ดี บำรุงหลอดเลือดแดง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
- ป้องกันการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์: น้ำมันตับปลาอาจลดความเสี่ยงของการเกิดคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง การสะสมของคราบพลัคอาจทำให้หลอดเลือดแดงตีบตันและนำไปสู่อาการหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง
น้ำมันตับปลาไม่เหมาะกับใคร
น้ำมันตับปลาเป็นอาหารเสริมยอดนิยมที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินดี และวิตามินเอ แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ แต่ก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ควรใช้ความระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงการเสริมน้ำมันตับปลา ข้อควรพิจารณาบางประการมีดังนี้:- สตรีมีครรภ์:
-
-
- วิตามินเอในปริมาณสูงจากน้ำมันตับปลาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ สตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินเอมากเกินไป และหากพิจารณาเสริมน้ำมันตับปลา ขอแนะนำให้ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับในปริมาณที่ปลอดภัย
-
- ผู้ที่รับประทานยาลดความอ้วน:
-
-
- กรดไขมันโอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลาอาจมีผลทำให้เลือดบางลงเล็กน้อย บุคคลที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้น้ำมันตับปลาเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้น
-
- บุคคลที่เป็นโรคภูมิแพ้ปลา:
-
-
- น้ำมันตับปลาได้มาจากปลา และผู้ที่แพ้ปลาควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันอาการแพ้
-
- ผู้ที่เป็นโรคตับ:
-
-
- บุคคลที่มีภาวะหรือโรคเกี่ยวกับตับควรปรึกษาผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อนรับประทานน้ำมันตับปลา เนื่องจากมีวิตามินเอในปริมาณสูง ซึ่งอาจทำให้ปัญหาเกี่ยวกับตับบางชนิดรุนแรงขึ้นได้
-
- เด็ก (ปริมาณสูง):
-
-
- เด็กจะได้รับประโยชน์จากกรดไขมันโอเมก้า 3 เพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ แต่การบริโภควิตามินเอมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ ผู้ปกครองควรเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสมกับวัยและปรึกษากับกุมารแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสม
-
- คนที่รับประทานยา:
-
-
- บุคคลที่รับประทานยา โดยเฉพาะยาที่ส่งผลต่อการเผาผลาญหรือการดูดซึมวิตามินเอ ควรปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อนใช้น้ำมันตับปลาเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้น
-
- บุคคลที่มีแคลเซียมสูง:
-
-
- น้ำมันตับปลามีวิตามินดี และการบริโภคที่มากเกินไปอาจทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูง (ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง) ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดสูงควรระมัดระวัง
-
- ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อวิตามินเอ:
-
- การได้รับวิตามินเอมากเกินไป โดยเฉพาะในรูปแบบของอาหารเสริม อาจทำให้เกิดภาวะวิตามินเอสูง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ และมองเห็นไม่ชัด บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินเอมากเกินไปจากทุกแหล่ง
ภาพรวมของน้ำมันตับปลา
น้ำมันตับปลาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทน้ำมันปลาที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินเอและวิตามินดีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว น้ำมันตับปลามีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น บำรุงกระดูกให้แข็งแรงขึ้น การอักเสบลดลง และอาการปวดข้อน้อยลงสำหรับผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น