ยาลดน้ำมูก (Anti-Snot Pill) – ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
ยาลดน้ำมูก

ยาลดน้ำมูก  

ยาลดน้ำมูก โดยทั่วไปเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ และการบวมขยายของเส้นเลือดในจมูก และลดการสร้างน้ำมูก นำมาใช้บรรเทาอาการคัดจมูก หายใจลำบาก หรือมีน้ำมูกที่เกิดจากไข้หวัด ไข้ละอองฟาง อาการโพรงจมูกอักเสบ โรคภูมิแพ้ หรืออาจใช้รักษาโรคชนิดอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยยาลดน้ำมูกมีทั้งแบบที่สามารถหาซื้อใช้ได้เอง หรือต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ และยาลดน้ำมูกจะใช้เพียง 3 หรือ 4 ครั้ง ต่อวันเท่านั้น ส่วนยาชนิดพ่นไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้อาการคัดจมูกแย่ลงได้  โดยผู้ป่วยควรใช้ยาตามฉลาก และตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ 

การออกฤทธิ์ของยาลดน้ำมูก

เมื่อมีอาการแพ้ หลอดเลือดในจมูก หรือตาจะบวม มีการหลั่งมูก และสารน้ำออกมา โดยเมื่อรับประทานยายาลดน้ำมูกไป จะช่วยทำให้อาการบวมของหลอดเลือดลดลง ลดอาการคัดจมูก ลดน้ำมูก และลดอาการตาแดง

รูปแบบของยาลดน้ำมูก

  • ยาพ่นจมูก
  • ยารับประทานชนิดเม็ด
  • ยาน้ำ
  • ยาผงสำหรับละลายน้ำ
  • ยาหยอดจมูก
ซึ่งยาพ่นจมูกควรจะใช้ในระยะเวลาที่จำกัดเนื่องจากการใช้ในระยะยาวจะทำให้อาการไม่ดีขึ้น สำหรับยารับประทานสามารถที่จะรับประทานในระยะยาวได้ 

Anti-Snot Pill

ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูก

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ทั่่วไป

  • อาการหลอน อาจได้กลิ่น ได้ยินเสียง รับรู้รสชาติ หรือรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น เห็นภาพหลอน
  • วิงเวียนศีรษะ หมดสติ หายใจลำบาก หายใจมีเสียง หัวใจเต้นเร็ว ตัวเย็น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ซึ่งอาการของการแพ้รุนแรง
  • วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
  • เกิดรอยช้ำ หรือมีเลือดออกง่าย
  • อ่อนเพลียผิดปกติ
  • มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามตัว มีอาการของหวัด
  • ความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง
  • จังหวะหัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
  • สับสน วิตกกังวล
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจ ไข้กาฬหลังแอ่น

ข้อควรจะระวังในการใช้ยาลดน้ำมูก

  • รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ หรือในอ่านฉลากยาอย่างละเอียด
  • ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชเสมอหากท่านรับประทานยาชนิดอื่นอยู่
  • ไม่ควรรับประทานยาลดน้ำมูกเกิน 1 ชนิด

คำเตือนในการใช้ยาลดน้ำมูก

  • ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ และประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ
  • ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบถึงอาการป่วยในปัจจุบัน และยาที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ และยาที่ซื้อเอง
  • ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบหากมีประวัติแพ้ยา หรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงการแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • ห้ามใช้ยาฟีนิลเอฟรีน และยาซูโดเอฟีดรีน ภายใน 14 วัน หลังจากใช้ยากลุ่มเอมเอโอไอ เช่น ยาไอโซคาร์บอกซาซิด ยาลีเนโซลิด และยาฟีเนลซีน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
  • ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบหากเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ภาวะการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ต่อมลูกหมากโต และต้อหิน
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจ ต่อมลูกหมากโต

บุคคลใดไม่ควรจะซื้อยาลดน้ำมูกรับประทานเอง

ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาลดน้ำมูกหากมีภาวะดังต่อไปนี้
  • ห้ามใช้ยาซูโดเอฟีดรีนในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี 
  • ควรปรึกษาแพทย์เสมอก่อนให้เด็กใช้ยาแก้ไอ หรือยาแก้หวัด
  • ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ใช้ยานี้
  • เด็กอายุ 6-12 ปี ให้ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
  • หากรู้สึกสับสนไม่สบาย หรือนอนไม่หลับ ไม่ควรรับประทานยาลดน้ำมูกเพื่อช่วยให้หลับ
  • แจ้งแพทย์เสมอหากใช้ยาลดน้ำหนัก ยารักษาโรคหอบหืด ยาลดความดันโลหิต เพราะยาลดน้ำมูกอาจจะมีผลกระทบกับยาดังกล่าว 
  • ควรปรึกษาแพทย์หากจะใช้ยาในผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร หรือกำลังให้นมบุตร เพราะตัวยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือซึมผ่านน้ำนมมารดา และก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกได้

ข้อควรพิจารณาทั่วไปบางประการเกี่ยวกับการใช้ยาบรรเทาอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกในเด็ก

  • ปรึกษากุมารแพทย์:
      • ก่อนที่จะให้ยาใดๆ แก่เด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก จำเป็นต้องปรึกษากับกุมารแพทย์ก่อน พวกเขาสามารถให้คำแนะนำตามอายุ น้ำหนัก และสถานะสุขภาพของเด็กแต่ละคนได้
  • คำแนะนำด้านอายุ:
      • ยาแต่ละชนิดมีคำแนะนำเฉพาะช่วงอายุ บางอย่างอาจไม่เหมาะสำหรับทารกหรือเด็กเล็กมาก ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านอายุที่แนะนำบนฉลากยาเสมอ
  • หลีกเลี่ยงยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ในเด็กเล็ก:
      • ยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์บางชนิดอาจไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ไอและหวัดบางชนิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
  • พิจารณาแนวทางที่ไม่ใช่ทางการแพทย์:
      • ในหลายกรณี อาการคัดจมูกในเด็กสามารถจัดการได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องใช้ทางการแพทย์ สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงการใช้เครื่องทำความชื้น ทำให้เด็กได้รับน้ำเพียงพอ และการใช้ยาหยอดจมูกน้ำเกลือเพื่อช่วยให้น้ำมูกใส
  • ระมัดระวังการใช้ยาผสม:
      • ยาบางชนิดอาจมีส่วนผสมหลายอย่างรวมกัน รวมถึงยาแก้แพ้หรือยาแก้คัดจมูก ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผสมอย่างระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมแต่ละอย่างเหมาะสมกับวัยของเด็ก
  • อ่านฉลากอย่างระมัดระวัง:
      • เมื่อเลือกยา ให้อ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อดูคำแนะนำในการใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และคำเตือนเฉพาะใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
  • หลีกเลี่ยงแอสไพรินในเด็ก:
      • หลีกเลี่ยงการให้แอสไพรินแก่เด็กหรือวัยรุ่นที่ติดเชื้อไวรัสเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคเรย์
  • อัปเดตเกี่ยวกับแนวทางการใช้ยา:
    • หลักเกณฑ์และคำแนะนำการใช้ยาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับทราบคำแนะนำล่าสุดจากหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพหรือกุมารแพทย์ของบุตรหลานของคุณ
โปรดจำไว้ว่าข้อมูลที่ให้ไว้ที่นี่เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป และสถานการณ์ของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกุมารแพทย์ ก่อนที่จะให้ยาแก่เด็กเสมอ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำส่วนบุคคลตามประวัติสุขภาพของเด็ก และให้แน่ใจว่าการรักษาที่เลือกนั้นปลอดภัยและเหมาะสม  
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด