ยาลดน้ำมูก
ยาลดน้ำมูก โดยทั่วไปเป็นยาที่มีส่วนผสมของยาแก้แพ้ เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบ และการบวมขยายของเส้นเลือดในจมูก และลดการสร้างน้ำมูก นำมาใช้บรรเทาอาการคัดจมูก หายใจลำบาก หรือมีน้ำมูกที่เกิดจากไข้หวัด ไข้ละอองฟาง อาการโพรงจมูกอักเสบ โรคภูมิแพ้ หรืออาจใช้รักษาโรคชนิดอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยยาลดน้ำมูกมีทั้งแบบที่สามารถหาซื้อใช้ได้เอง หรือต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ และยาลดน้ำมูกจะใช้เพียง 3 หรือ 4 ครั้ง ต่อวันเท่านั้น ส่วนยาชนิดพ่นไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 1 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้อาการคัดจมูกแย่ลงได้ โดยผู้ป่วยควรใช้ยาตามฉลาก และตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอการออกฤทธิ์ของยาลดน้ำมูก
เมื่อมีอาการแพ้ หลอดเลือดในจมูก หรือตาจะบวม มีการหลั่งมูก และสารน้ำออกมา โดยเมื่อรับประทานยายาลดน้ำมูกไป จะช่วยทำให้อาการบวมของหลอดเลือดลดลง ลดอาการคัดจมูก ลดน้ำมูก และลดอาการตาแดงรูปแบบของยาลดน้ำมูก
- ยาพ่นจมูก
- ยารับประทานชนิดเม็ด
- ยาน้ำ
- ยาผงสำหรับละลายน้ำ
- ยาหยอดจมูก
ผลข้างเคียงของยาลดน้ำมูก
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ทั่่วไป
- ปากแห้ง
- รู้สึกคลื่นไส้ หรืออาเจียน
- รู้สึกหงุดหงิด กระสับกระส่าย
- ปวดศีรษะ
- นอนไม่หลับ
- ระคายเคืองในจมูก
- มีผื่นขึ้น
- มีอาการสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น
- ผู้ชายปัสสาวะลำบาก
ผลข้างเคียงที่รุนแรง
- อาการหลอน อาจได้กลิ่น ได้ยินเสียง รับรู้รสชาติ หรือรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น เห็นภาพหลอน
- วิงเวียนศีรษะ หมดสติ หายใจลำบาก หายใจมีเสียง หัวใจเต้นเร็ว ตัวเย็น คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น ซึ่งอาการของการแพ้รุนแรง
- วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง หรือหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
- เกิดรอยช้ำ หรือมีเลือดออกง่าย
- อ่อนเพลียผิดปกติ
- มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามตัว มีอาการของหวัด
- ความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง
- จังหวะหัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดปกติ
- สับสน วิตกกังวล
ข้อควรจะระวังในการใช้ยาลดน้ำมูก
- รับประทานยาตามคำสั่งแพทย์ หรือในอ่านฉลากยาอย่างละเอียด
- ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชเสมอหากท่านรับประทานยาชนิดอื่นอยู่
- ไม่ควรรับประทานยาลดน้ำมูกเกิน 1 ชนิด
คำเตือนในการใช้ยาลดน้ำมูก
- ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ และประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ ให้แพทย์ทราบ
- ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบถึงอาการป่วยในปัจจุบัน และยาที่กำลังใช้อยู่ ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ และยาที่ซื้อเอง
- ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบหากมีประวัติแพ้ยา หรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงการแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
- ห้ามใช้ยาฟีนิลเอฟรีน และยาซูโดเอฟีดรีน ภายใน 14 วัน หลังจากใช้ยากลุ่มเอมเอโอไอ เช่น ยาไอโซคาร์บอกซาซิด ยาลีเนโซลิด และยาฟีเนลซีน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
- ควรแจ้งให้แพทย์ หรือเภสัชกรทราบหากเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ภาวะการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ต่อมลูกหมากโต และต้อหิน
บุคคลใดไม่ควรจะซื้อยาลดน้ำมูกรับประทานเอง
ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาลดน้ำมูกหากมีภาวะดังต่อไปนี้- ห้ามใช้ยาซูโดเอฟีดรีนในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี
- ควรปรึกษาแพทย์เสมอก่อนให้เด็กใช้ยาแก้ไอ หรือยาแก้หวัด
- ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ใช้ยานี้
- เด็กอายุ 6-12 ปี ให้ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
- หากรู้สึกสับสนไม่สบาย หรือนอนไม่หลับ ไม่ควรรับประทานยาลดน้ำมูกเพื่อช่วยให้หลับ
- แจ้งแพทย์เสมอหากใช้ยาลดน้ำหนัก ยารักษาโรคหอบหืด ยาลดความดันโลหิต เพราะยาลดน้ำมูกอาจจะมีผลกระทบกับยาดังกล่าว
- ควรปรึกษาแพทย์หากจะใช้ยาในผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร หรือกำลังให้นมบุตร เพราะตัวยาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ หรือซึมผ่านน้ำนมมารดา และก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกได้
ข้อควรพิจารณาทั่วไปบางประการเกี่ยวกับการใช้ยาบรรเทาอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกในเด็ก
- ปรึกษากุมารแพทย์:
-
-
- ก่อนที่จะให้ยาใดๆ แก่เด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็ก จำเป็นต้องปรึกษากับกุมารแพทย์ก่อน พวกเขาสามารถให้คำแนะนำตามอายุ น้ำหนัก และสถานะสุขภาพของเด็กแต่ละคนได้
-
- คำแนะนำด้านอายุ:
-
-
- ยาแต่ละชนิดมีคำแนะนำเฉพาะช่วงอายุ บางอย่างอาจไม่เหมาะสำหรับทารกหรือเด็กเล็กมาก ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านอายุที่แนะนำบนฉลากยาเสมอ
-
- หลีกเลี่ยงยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ในเด็กเล็ก:
-
-
- ยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์บางชนิดอาจไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ ตัวอย่างเช่น ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ไอและหวัดบางชนิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
-
- พิจารณาแนวทางที่ไม่ใช่ทางการแพทย์:
-
-
- ในหลายกรณี อาการคัดจมูกในเด็กสามารถจัดการได้ด้วยวิธีที่ไม่ต้องใช้ทางการแพทย์ สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงการใช้เครื่องทำความชื้น ทำให้เด็กได้รับน้ำเพียงพอ และการใช้ยาหยอดจมูกน้ำเกลือเพื่อช่วยให้น้ำมูกใส
-
- ระมัดระวังการใช้ยาผสม:
-
-
- ยาบางชนิดอาจมีส่วนผสมหลายอย่างรวมกัน รวมถึงยาแก้แพ้หรือยาแก้คัดจมูก ควรใช้ผลิตภัณฑ์ผสมอย่างระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่าส่วนผสมแต่ละอย่างเหมาะสมกับวัยของเด็ก
-
- อ่านฉลากอย่างระมัดระวัง:
-
-
- เมื่อเลือกยา ให้อ่านฉลากอย่างละเอียดเพื่อดูคำแนะนำในการใช้ยา ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และคำเตือนเฉพาะใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก
-
- หลีกเลี่ยงแอสไพรินในเด็ก:
-
-
- หลีกเลี่ยงการให้แอสไพรินแก่เด็กหรือวัยรุ่นที่ติดเชื้อไวรัสเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อโรคเรย์
-
- อัปเดตเกี่ยวกับแนวทางการใช้ยา:
-
- หลักเกณฑ์และคำแนะนำการใช้ยาอาจมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับทราบคำแนะนำล่าสุดจากหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพหรือกุมารแพทย์ของบุตรหลานของคุณ
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น