โรคไอกรน (Pertussis) : อาการ สาเหตุ การรักษา

โรคไอกรน

โรคไอกรน (Pertussis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอย่างรุนเเรง ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อว่า Bordetella pertussis การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดนี้ทำให้เกิดอาการไออย่างรุนเเรงเเละไม่สามารถควบคุมได้จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการหายใจลำบากได้ โรคไอกรนสามารถเกิดขึ้นกับคนทุกวัย แต่อย่างไรก็ตามโรคไอกรนที่เกิดขึ้นกับเด็กทารกหรือเด็กเล็กเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตได้  ข้อมูลจากสถาบันป้องกันเเละควบคุมโรคระบุว่าก่อนที่จะมีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว โรคไอกรนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กในสหรัศอเมริกาเสียชีวิตมากที่สุด ซึ่งสถาบันป้องกันเเละควบคุมโรคได้รายงานว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคไอกรนในปี 2016 จำนวนต่ำกว่า 18,000 รายและมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจำนวน 7 ราย Pertussis

อาการของโรคไอกรน

ระยะฟักตัวของโรคไอกรนใช้เวลาประมาณ 5-10 วันแต่ในช่วงเวลานี้อาจยังไม่มีอาการของโรคปรากฎขึ้นเป็นเวลานานกว่า 3 สัปดาห์ โดยข้อมูลจากสถาบันป้องกันเเละควบคุมโรคระบุว่าอาการของโรคไอกรนมีลักษณะคล้ายกับเป็นไข้หวัด ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นได้แก่ มีน้ำมูกไหล ไอและมีไข้ รวมถึงมีอาการไอแห้งเกิดขึ้นภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์และอาจทำให้เกิดอาการหายใจลำบากได้ เด็กที่มักทำเสียงลมหายใจดัง “วู้ป” เมื่อพวกเขาพยายามหายใจหลังจากการไอ ดังนั้นเสียงชนิดนี้เป็นอาการที่พบได้น้อยในเด็กทารก อาการไออย่างรุนเเรงชนิดนี้ยังเป็นสาเหตุของอาการดังต่อไปนี้ได้แก่
  • อาเจียน
  • ผิวหนังกลายเป็นสีน้ำเงินหรือสีม่วง
  • กระหายน้ำ
  • มีไข้ต่ำ
  • หายใจลำบาก
สำหรับผู้ใหญ่และวัยรุ่นโดยปกติจะมีอาการไอกรนรุนเเรงมากขึ้นเช่นเกิดอาการไอที่มีเสียงลมหายใจ  “วู้ป” เรื้อรัง  

การวินิจฉัยและการรักษาโรคไอกรน

ถ้าหากลูกของคุณมีอาการไอกรนควรไปพบเเพทย์ทันที โดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวที่ไม่เคยได้รับภูมิคุ้มกันโรคไอกรน  โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงมาก โดยแบคทีเรียจะเกิดการแพร่กระจายสู่อากาศเมื่อผู้ที่มีเชื้อไอ จาม หรือ หัวเราะจึงทำให้เชื้อเเบคทีเรียสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว สำหรับการวินิจฉัยโรคไอกรน แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและนำตัวอย่างเสมหะที่จมูกและคอไปตรวจ โดยนำตัวอย่างสารคัดหลั่งเหล่านี้ไปตรวจเพื่อค้นหาเชื้อแบคทีเรีย B. pertussis นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องตรวจเลือดด้วยเพื่อการวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องและแม่นยำ 

การรักษา

ผู้ป่วยที่เป็นทารกหรือเด็กเล็กหลายรายจำเป็นต้องนอนพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตุอาการและให้ความช่วยเหลือด้วยเครื่องช่วยหายใจ ในผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องให้น้ำเกลือผ่านเส้นเลือดดำ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากโรคไอกรนเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย การรักษาเบื้องต้นจึงจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วยาปฏิชีวนะสามารถรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดโรคไอกรนในระยะเเรก แต่อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะสามารถนำมาใช้ในระยะสุดท้ายของการติดเชื้อได้เช่นกันเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ทั้งนี้ยาปฏิชีวนะสามารถรักษาการติดเชื้อได้ แต่ไม่สามารถป้องกันหรือรักษาอาการไอได้ อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ไอเนื่องจากยาแก้ไอไม่สามารถรักษาโรคไอกรนได้และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับเด็กทารกหรือเด็กเล็กได้  แทพย์ส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้เครื่องทำความชื้นในห้องนอนของเด็กเพื่อทำให้อากาศมีความชื้นและบรรเทาอาการของโรคไอกรน 

ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้

เด็กทารกที่เป็นโรคไอกรนจำเป็นต้องได้รับการดูเเลอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างเช่นการขาดออกซิเจน นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายอย่างอื่นได้แก่  ถ้าหากเด็กทารกเคยมีอาการติดเชื้อ ควรไปพบแพทย์ทันที ในเด็กที่มีอายุมากและผู้ใหญ่สามารถมีอาการแทรกซ้อนได้เช่นกัน โดยมีอาการดังต่อไปนี้
  • นอนไม่หลับ
  • กระเพาะปัสสาวะรั่ว (สูณเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ)
  • ปอดบวม
  • กระดูกซี่โครงหัก

บทสรุปทั่วไป

อาการของโรคไอกรนสามารถเกิดขึ้นได้นานถึง 4 สัปดาห์หรือมีระยะเวลายาวนานกว่านั้นแม้ว่าจะอยู่ในระหว่างการรักษา โดยปกติเด็กและผู้ใหญ่สามารถหายจากโรคไอกรนได้เร็วกว่า เมื่อได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น  เด็กทารกมีความเสี่ยงเป็นโรคไอกรนได้สูงและเสียชีวิตจากโรคนี้ได้ แม้ว่าจะเริ่มต้นรักษาโรคไอกรนเเล้วก็ตาม  พ่อแม่ควรสังเกตุอาการของเด็กทารกที่ติดเชื้ออย่างระมัดระวัง ถ้าหากมีอาการของโรคไอกรนเกิดขึ้นเรื้อรังและรุนเเรง ควรไปพบเเพทย์ทันที

การป้องกันโรคไอกรน

วัคซีนไอกรนนำมาใช้การป้องกันโรคไอกรนเป็นหลัก สถาบันป้องกันเเละควบคุมโรคแนะนำว่าเด็กทารกควรได้รับวัคซีนในช่วงอายุดังต่อไปนี้ 
  • 2 เดือน
  • 4 เดือน
  • 6 เดือน
การฉีดวัคซีนไอกรนกระตุ้นจำเป็นสำหรับเด็กที่มีอายุ
  • 15 ถึง 18 เดือน
  • 4 ถึง 6 ปีและควรฉีดอีกครั้งเมื่ออายุ 11 ปี 
ไม่ใช่เพียงแค่เด็กเท่านั้นที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ่เเละเสี่ยงเป็นโรคไอกรนได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนถ้าหากคุณ
  • ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็กทารกหรือเด็กเล็ก
  • มีอายุมากกว่า 65 ปี
  • ทำงานในเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ 
อาหารเพื่อลดอาการไอกรน โรคไอกรนเป็นโรคติดต่อที่รุนแรง โรคไอกรนเป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของเราอย่างมาก แม้ว่าโรคไอกรนจะถือเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเด็ก แต่ก็อาจเกิดกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โรคไอกรนสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนที่ให้ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอาจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไอกรน วัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนอาจติดเชื้อไอกรนได้หากภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ภาวะนี้อาจคงอยู่ได้สองสามวันและอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ในขณะที่รับประทานยา ควรเลือกรับประทานอาหารและคำแนะนำอื่นๆ ที่สามารถช่วยลดอาการของโรคไอกรนได้ ใน 

อาหาร 11 ชนิดเหล่านี้ที่สามารถช่วยลดอาการของโรคไอกรนได้:

  1. ขิง
ขิงเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับอาการไอ เป็นหวัด และการติดเชื้อทั่วไปอื่นๆ ที่ส่งผลต่อจมูกและคอ ต้านการอักเสบ ต้านแบคทีเรีย และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
  1. ขมิ้น
ขมิ้นเป็นเครื่องปรุงยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งที่ทราบกันดีถึงคุณประโยชน์อันโดดเด่น ขมิ้นชันช่วยรักษาโรคไอกรนได้เนื่องจากมีส่วนประกอบของเคอร์คูมิน 
  1. น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมในครัวเรือนของเอเชียใต้เนื่องจากมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์เป็นพิเศษ มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา ต้านไวรัส ต้านการอักเสบ และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
  1. โปรไบโอติก
โปรไบโอติกสามารถช่วยต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ โปรไบโอติก เช่น บัตเตอร์มิลค์ โยเกิร์ต และนมเปรี้ยวสามารถช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว
  1. ของเหลวเพิ่มพลังงาน
หากคุณเป็นโรคไอกรน คุณต้องดื่มน้ำมากๆ ลองดื่มน้ำ น้ำผลไม้ ซุป และของเหลวอื่นๆ ที่สามารถช่วยให้คุณไม่ขาดน้ำ
  1. กีวี
กีวีเป็นที่รู้จักจากคุณประโยชน์มากมาย มีผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเรา กีวีอาจช่วยลดอาการไอและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้
  1. เมล็ดฟักทอง
เมล็ดฟักทองและเมล็ดพืชอื่น ๆ ดีต่อร่างกายเมื่อเกิดโรคไอกรน เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยสังกะสีซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
  1. น้ำซุป
ตามที่กล่าวไว้ ของเหลวสามารถช่วยลดและจัดการกับอาการของโรคไอกรนได้ น้ำซุปยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ที่ช่วยปรับปรุงระดับพลังงานและภูมิคุ้มกันของเรา   
  1. อัลมอนด์
อัลมอนด์สามารถป้องกันและรักษาโรคหวัด ไอ ไอกรน และอาการอื่นๆ อัลมอนด์ยังสามารถย่อยได้ง่ายและยังมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอีกด้วย
  1. กระเทียม
กระเทียมมีคุณสมบัติพิเศษและสามารถช่วยต่อสู้กับโรคหวัดและไข้หวัดได้ กระเทียมยังช่วยปรับปรุงภูมิคุ้มกันของเราและทำให้เราจัดการกับการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  1. พริกไทยดำ
พริกไทยดำเป็นหนึ่งในสมุนไพรอายุรเวชที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดซึ่งเป็นที่นิยมในด้านคุณประโยชน์มากมาย พริกไทยดำอาจช่วยล้างไซนัสและความแออัดของเรา

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/whooping-cough/symptoms-causes/syc-20378973
  • https://www.nhs.uk/conditions/whooping-cough/
  • https://www.cdc.gov/pertussis/about/signs-symptoms.html
  • https://www.health.gov.au/health-topics/whooping-cough-pertussis

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด