กรดไฮยาลูโรนิกจำเป็นไหม- ทำไมจึงควรใช้ให้ถูกวิธี? (Hyaluronic Acid)

กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)  หรือไฮยาลูรอน ขึ้นชื่อในเรื่องของความสามารถในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่ถ้าคุณใช้อย่างไม่ถูกวิธี อาจทำให้ผิวของคุณแห้งกร้านยิ่งกว่าเดิม  เพื่อการดูแลผิวพรรณของคุณ นี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการใช้ กรดไฮยาลูโรนิก ในแต่ละวัน  เรื่องราวของความสวยความงาม  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางเพื่อการดูแลผิวยี่ห้อต่างๆ ทั้งสูตรที่คุณกำลังใช้ หรือกำลังทดลองใช้อยู่ การดูแลผิว การสระผมบ่อยครั้งแค่ไหน ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น   นั่นเป็นเหตุผลที่เราจำเป็นต้องพึ่งกลุ่มนักเขียน นักการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ เพื่อแบ่งปันเคล็ดลับเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่วิธีการใช้งานผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ไป จนถึงแผ่นมาสก์ที่ดีที่สุดที่เหมาะกับความต้องการของคุณ เราแนะนำเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เราชื่นชอบอย่างแท้จริง ดังนั้นหากคุณเห็นลิงก์ของร้านค้าที่เจาะจงไปที่ผลิตภัณฑ์หรือยี่ห้อใดๆ  ให้แน่ใจได้ว่าทีมงานของเราได้ทำการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว

กรดไฮยาลูโรนิกคืออะไร? 

กรดไฮยาลูโรนิก เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ เฟย์นเฟรย์ (Fayne Frey, MD) แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกล่าวว่า “กรดไฮยาลูโรนิกเกือบครึ่งหนึ่งของร่างกายพบได้ในผิวหนัง”     แต่ยังสามารถพบได้ในกระดูก กระดูกอ่อน เส้นเอ็น เอ็น และริมฝีปาก  วาเนสซ่า โทมัส (Vanessa Thomas ) นักเคมีทางเครื่องสำอางกล่าวเสริมว่า กรดไฮยาลูโรนิกสามารถจับกับโมเลกุลของน้ำเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนังและข้อต่อได้ถึง 1,000 เท่า ของน้ำหนักตัวมันเอง  เมื่อมนุษย์มีอายุมากขึ้น ระดับกรดไฮยาลูโรนิกตามธรรมชาติจะเริ่มลดลง ผู้คนจึงหันมาใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีกรดชนิดนี้เพื่อทำให้กลับมาสวยสดใสเหมือนเดิม 

กรดไฮยาลูโรนิกทำอะไร?

โทมัส กล่าวว่า “กรดไฮยาลูโรนิกทำหน้าที่เป็นตัวรองรับข้อต่อ เส้นประสาท และผิวหนังของเรา”  แต่ได้ชื่อว่ามีประโยชน์เกี่ยวข้องกับผิวเป็นหลัก  เฟรย์ กล่าวว่า “ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว กรดไฮยาลูโรนิกถูกใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้น ซึ่งเป็น สารที่ช่วยทำให้ผิวอุ้มน้ำ”   เฟรย์กล่าวเสริมอีกว่า “กรดไฮยาลูโรนิกช่วยให้ผิวชั้นนอกชุ่มชื้น จึงช่วยปรับปรุงลักษณะของผิว” ผิวที่ ชุ่มชื้น คือมีความกระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น  แต่กรดไฮยาลูโรนิก ไม่สามารถทำให้ผิวย้อนกลับไปอ่อนเยาว์ได้อย่างถาวร เฟรย์กล่าวว่า คำกล่าวอ้างที่ว่า “กุญแจสู่น้ำพุแห่งความเยาว์วัย” คือ “การโฆษณาเกินจริง”  เฟรย์อธิบายว่า “ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่พบส่วนผสม โมเลกุล หรือผลิตภัณฑ์ชนิดใด ที่สามารถย้อนวัย หรือชะลอความแก่ชราได้”  นอกจากการทำให้ผิวเรียบเนียนและดูมีชีวิตชีวาแล้ว  กรดไฮยาลูโรนิกยังมี ประโยชน์อื่นๆ  อีกมากมาย  เช่น ช่วยในการรักษาบาดแผลและกระบวนการซ่อมแซมผิวหนัง และสามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องผิวจากการทำลายโมเลกุลที่เรียกว่าอนุมูลอิสระ 

ทำให้เกิดผลข้างเคียงได้หรือไม่? 

คำว่า “กรด” อาจทำให้บางคนตกใจ แต่ก็มีส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนี้ที่ทำให้ต้องกังวลอยู่บ้าง   เฟรย์กล่าวว่า เนื่องจากกรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังโดยธรรมชาติอยู่แล้ว  จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เกิดอาการแพ้   หากมีผลข้างเคียงใดๆ เกิดขึ้น อาจเป็นผลมาจากความถี่ที่คุณใช้ หรือส่วนผสมอื่น ๆ ในผลิตภัณฑ์ หรือ หรืออาจเป็นผลจากการใช้กรดไฮยาลูโรนิกที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป  ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของกรดไฮยาลูโรนิกสูงกว่า 2% เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองหรือความแห้งกร้าน  และควรทดสอบการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่จุดใดจุดหนึ่งของร่างกาย ก่อนที่จะทาให้ทั่วใบหน้า  หากพบอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ ให้ติดต่อแพทย์ผิวหนัง หรือผู้ให้บริการด้านสุขภาพอื่น ๆ เพื่อขอคำแนะนำ

ผู้ที่ไม่ควรใช้ 

กรดไฮยาลูโรนิกเหมาะสำหรับทุกสภาพผิว แม้แต่ผู้ที่มี ผิวบอบบาง หรือผู้ที่เป็นสิวง่ายก็สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยต่อสตรีมีครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร แพทย์ผิวหนังสามารถให้คำแนะนำเป็นการส่วนตัว ตลอดจนแนะนำในข้อกังวลของคุณ และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละคน  How to Use Hyaluronic Acid the Right Way and Why You Should

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮยาลูโรนิกเหมือนกันหรือไม่?

เมื่อพิจารณาดูผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบ ๆ ที่อยู่รอบตัวเราในปัจจุบัน จะพบว่ามีกรดไฮยาลูโรนิกเป็นส่วนผสมอยู่ในทุกอย่างๆ  ตั้งแต่เซรั่มและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ไปจนถึงอาหารเสริมทั้งชนิดรับประทานและชนิดที่ใช้ฉีดลงลนผิวหนัง  แต่ไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจะมีกรดไฮยาลูโรนิกในปริมาณเท่ากัน หรือให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน บางชนิดมีกรด เกลือโซเดียม หรือโซเดียมไฮยาลูโรเนตเป็นส่วนประกอบของหลักในผลิตภัณฑ์ รวมถึงความเข้มข้นของกรดที่สูงขึ้น เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายหลักคือ การให้ความชุ่มชื้นหรือการต่อต้านริ้วรอย  สารอื่นที่เป็นส่วนประกอบในปริมาณที่น้อยกว่า จะทำหน้าที่เป็น humectant (สารดูดซับความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง)  เพื่อช่วยในจุดประสงค์อื่นไม่ว่าจะเป็น ต่อต้านการเกิดสิวต่อต้านการเกิดสิวหรือทำให้สีผิวสม่ำเสมอ  คุณอาจสังเกตเห็นน้ำหนักโมเลกุลต่างๆ ที่แสดงบนฉลากของเซรั่มและครีม แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ Rina Allawh, MD ซึ่งปฏิบัติงานในฟิลาเดลเฟีย ได้อธิบายว่า “ กรดไฮยาลูโรนิกมีหลายขนาด”   “มีการกำหนดน้ำหนักโมเลกุลแต่ละขนาด ซึ่งแปรผกผันกับความสามารถที่โมเลกุลจะซึมผ่านผิวหนังได้” Allawh กล่าวว่า ยิ่งมีน้ำหนักโมเลกุลน้อยเท่าใดโมเลกุลก็ซึมผ่านผิวหนังไปได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น  Allawh กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรดไฮยาลูโรนิกที่มีน้ำหนักโมเลกุลมาก มีแนวโน้มที่จะสร้างฟิล์มบนผิวมากกว่าที่จะซึมลึกผ่านเข้าไปในชั้นผิวหนัง”   ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะเห็นผลในระยะยาวเมื่อเทียบกับกรดไฮยาลูโรนิกที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำกว่า และดังที่ Thomas ชี้ให้เห็นว่า “ สารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่มักมีปัญหาในการแสดงผลลัพธ์”  ภายหลังทำการทดสอบกรดไฮยาลูโรนิกจำนวนมาก นักวิจัยพบว่า สูตรที่มีน้ำหนักโมเลกุลของกรดไฮยาลูโรนิกต่ำ “เกี่ยวข้องกับการลดร่องลึกของริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นเพราะความสามารถในการซึมผ่านที่ดีขึ้น”  แต่เฟรย์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า วิธีการพิสูจน์การซึมผ่านลึกของกรดไฮยาลูโรนิกเพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่กล่าวว่าสูตรของพวกเขามีกรดที่มีน้ำหนักโมเลกุลต่ำไม่มีอยู่จริง  กรดไฮยาลูโรนิกมักถูกฉีดเข้าไปในผิวหนังเพื่อฟื้นฟูริ้วรอยแห่งวัยที่ลึกขึ้น   สารเติมเต็ม (fillers) เหล่านี้ให้ผลลัพธ์ในการต่อต้านริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะที่ แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยช้ำและอาการบวมเกิดขึ้นได้

ควรมองหาส่วนผสมใดในผลิตภัณฑ์? 

ข้อควรจำบางอย่างเมื่อมองหาผลิตภัณฑ์กรดไฮยาลูโรนิกที่มีคุณภาพ  ประการแรก โทมัสกล่าวว่า กรดไฮยาลูโรนิกสามารถใช้ได้ดีที่สุดกับทุกผลิตภัณฑ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว อย่าลืมว่า อาจระบุบนฉลากของผลิตภัฑณ์ว่าเป็นโซเดียมไฮยาลูโรเนตซึ่งเป็นรุ่นที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่าแต่มีราคาถูกกว่า ประการที่สอง ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีความรุนแรง เช่น น้ำหอมและแอลกอฮอล์หรืออะไรก็ตามที่มีความเข้มข้นของกรดสูง   เฟรย์อธิบายว่า “ครีม เครื่องสำอาง โลชั่น และเซรั่มที่มีจำหน่ายตามร้านทั่วไป (OTC) ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำ และมีปริมาณของกรดไฮยาลูโรนิกน้อยกว่า 2%” เฟรย์กล่าวต่อไปอีกว่า “มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีระดับความชื้นสูงเกินไปอาจส่งผลให้มีการสูญเสียน้ำจากผิวหนังเพิ่มขึ้น”  “นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบมากกว่าไม่ได้มีคุณภาพที่ดีกว่าเสมอไป” และประการที่สาม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ใด ๆ ที่เหมาะสม จะต้องสามารถป้องกันการ สูญเสียน้ำออกจากผิวหนังและระเหยไปในอากาศได้ ดังที่เฟรย์ได้กล่าวว่า“ มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดยังมีส่วนผสมที่เรียกว่าสารกักเก็บความชุมชื้นด้วย” ที่ทำหน้าที่เช่นนั้นด้วย  ผลิตภัณฑ์นมต่างๆ เช่น เชียและโกโก้ ผลิตภัณฑ์น้ำมัน เช่น อะโวคาโดและขี้ผึ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นตัวอย่างของสารป้องกันการระเหยของน้ำออกจากผิวหนัง   ให้มองหาส่วนผสมอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์กรดไฮยาลูโรนิกด้วย วิตามิน ซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถช่วยต่อต้านความแห้งกร้านและปกป้องผิวจากการถูกทำลายของสิ่งแวดล้อมได้    ในขณะที่ วิตามิน  B5, ใช้เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

ควรพิจารณาผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง? 

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์กรดไฮยาลูโรนิกส่วนใหญ่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว แต่ก็มีบางชนิดที่มีสูตรเฉพาะที่ระมัดระวังในการใช้  Neutrogena’s Hydro Boost Hydrating Serum เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวมันหรือเป็นสิว   Allawh ได้ให้คำแนะนำว่า “ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว เพิ่มความยืดหยุ่นและการยึดเกาะกันของเกราะป้องกันผิว” ที่สำคัญคือไม่ทิ้ง“ คราบมันหรือความมันที่ไม่พึงประสงค์” หากคุณมีผิวแห้งเป็นพิเศษให้มองหา The Ordinary Hyaluronic Acid 2% + B5 ตามผลิตภันฑ์ยี่ห้อที่ระบุว่าประกอบด้วยกรดไฮยาลูโรนิกในน้ำหนักโมเลกุลต่ำ ปานกลาง และสูงร่วมกับวิตามินบี 5 เพื่อให้ความชุ่มชื้นอย่างเข้มข้น  สำหรับผู้ที่มีผิวผสมควรลองใช้  Cetaphil’s Daily Hydration Lotion with Hyaluronic Acidโดยมอยส์เจอร์ไรเซอร์สูตรบางเบานี้จะช่วยบรรเทาบริเวณที่แห้งกร้านโดยไม่ต้องเพิ่มน้ำมันให้กับผิว  SkinCeuticals’ Hyaluronic Acid Intensifier ซึ่งเป็นเซรั่มที่ได้รับความนิยมสูงที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อฟื้นฟูสภาพผิวในขณะที่ The Ordinary’s Lactic Acid 5% + HA จะช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนเพื่อช่วยลดจุดด่างดำ   มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่ช่วยลดการเกิดริ้วรอยด้วย  ลองใช้ L’Oreal Paris’ Revitalift Pure Hyaluronic Acid Serum หรือ Paula’s Choice’s Hyaluronic Acid Booster เพื่อให้ผิวกระชับและดูมีน้ำมีนวล

จะเพิ่มเข้าไปในกิจวัตรของคุณได้อย่างไร? 

ขึ้นอยู่กับประเภทของผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกใช้  มอยส์เจอร์ไรเซอร์และเซรั่มเป็นกรดไฮยาลูโรนิก 2 รูปแบบที่พบบ่อยที่สุด เลือกใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ผสมกรดไฮยาลูโรนิกเป็นประจำ ในเวลาที่คุณต้องการความชุ่มชื้น ตามหลักการแล้วควรใช้วันละ 2 ครั้ง และใช้หลังจากทำความสะอาด ขัดผิว หรือทาเซรั่มทุกครั้ง แต่ถ้าคุณใช้เซรั่มกรดไฮยาลูโรนิกกิจวัตรของคุณจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย หลังจากทำความสะอาดและในขณะที่ผิวของคุณยังชุ่มชื้นอยู่ ให้หยดกรดไฮยาลูโรนิก 2-3 หยดลงบนฝ่ามือแล้วทาลงบนใบหน้า หลังจากนั้นทาครีมบำรุงผิวตามทันที เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นทั้งหมดนั้นไว้   นับว่าเป็นเรื่องโชคดีที่กรดไฮยาลูโรนิกทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิด ได้ดี เช่น เรตินอล วิตามิน ซี  กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs) และ กรดเบตาไฮดรอกซี (BHAs) ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำกิจวัตรที่เหลือ 

สามารถใช้ได้บ่อยแค่ไหน? 

ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจง และเริ่มอย่างช้าๆ โดยทั่วไปแล้วกรดไฮยาลูโรนิกสามารถใช้ได้ทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน

สามารถคาดหวังผลลัพธ์ได้เมื่อใด?

ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีสูตรที่แตกต่างกัน ดังนั้นเวลาที่ให้ผลอาจแตกต่างกันไปด้วย  เนื่องจากผลิตภัณฑ์กรดไฮยาลูโรนิกที่ใช้เฉพาะที่ มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลชั่วคราว จึงควรสังเกตเห็นผิวที่ดูอวบอิ่ม ฉ่ำน้ำ และมีความชุ่มชื้นมากขึ้นภายในเวลาไม่กี่นาที แต่หากคุณต้องการลดริ้วรอยและสัญญาณอื่น ๆ ของวัย อาจต้องรอ 2-3 เดือนจึงจะเห็นความแตกต่าง 

ท้ายที่สุด

เพื่อให้ผิวของคุณดูดีและรู้สึกดีที่สุด คุณต้องให้ผิวมีความชุ่มชื้น และกรดไฮยาลูโรนิกเป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น  กรดไฮยาลูโรนิกนี้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสำหรับทุกคนเนื่องจาก ใช้งานง่าย มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงต่ำ และมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ 

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด