ส้นเท้าแตกเป็นปัญหาบริเวณเท้าที่พบบ่อย การสำรวจหนึ่งพบว่าร้อยละ 20 ของผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกามีประสบการณ์ผิวแตกที่เท้า ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ใหญ่ และเด็ก แต่ดูเหมือนว่าผลกระทบจะเกิดกับผู้หญิงได้บ่อยกว่าผู้ชาย
สำหรับคนส่วนมากปัญหาส้นเท้าแตกไม่ใช่เรื่องร้ายแรง อาจทำให้รู้สึกไม่สบายเมื่อเดินเท้าเปล่า แต่บางกรณีรอยแตกที่ส้นเท้าอาจลึกมาก และทำให้เกิดความเจ็บปวดได้
วิธีรักษาส้นเท้าแตกที่บ้าน
1.ใช้ครีมทาส้นเท้าแตกหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดเข้มข้น แนวทางแรกของการรักษาส้นเท้าแตกคือการใช้บาล์มส้นเท้า บาล์มเหล่านี้มีส่วนผสมที่ให้ความชุ่มชื้น เนียนนุ่ม และผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ระวังส่วนผสมต่อไปนี้:- ยูเรีย (Flexitol Heel Balm)
- กรดซาลิไซลิก (Kerasal)
- กรดอัลฟา – ไฮดรอกซี (Amlactin)
- แซคคาไรด์ไอโซเมต
- ทาบาล์มบำรุงส้นเท้าในตอนเช้าเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวก่อนเริ่มวันใหม่
- เพิ่มความชุ่มชื้นส้นเท้า 2 ถึง 3 ครั้งต่อวัน
- สวมรองเท้าที่ป้องกันส้นเท้าของคุณ
- แช่เท้าและขัดผิว
- แช่เท้าในน้ำสบู่อุ่น ๆ นาน 20 นาที
- ใช้ใยบวบขัดเท้า หรือหินภูเขาไฟเพื่อขจัดผิวหนังที่แข็งและหนาออก
- ค่อย ๆ ซับเท้าให้แห้ง
- ทาบาล์มส้นเท้า หรือมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อข้น ๆ บริเวณที่มีปัญหา
- ทาปิโตรเลียมเจลลี่ให้ทั่วเท้าเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น ใส่ถุงเท้าเพื่อไม่ให้เนื้อครีมกระจายไปรอบ ๆ
- พลาสเตอร์เจล แบบเหลว
- น้ำผึ้ง
- น้ำมันมะพร้าว
- การเยียวยาด้วยวิธีทางธรรมชาติอื่น ๆ
- น้ำส้มสายชูสำหรับแช่เท้า
- น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืชอื่น ๆ ที่ให้ความชุ่มชื้น
- เชียร์บัตเตอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- กล้วยบดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ขี้ผึ้งพาราฟินเพื่อกักเก็บความชื้นเอาไว้
- ข้าวโอ๊ตผสมกับน้ำมันสำหรับขัดผิว
- ใช้ที่ขูดส้นเท้าแตก
ข้อควรระวัง
อย่ารักษาส้นเท้าแตกด้วยตัวเองหากเกิดจากปัญหาเกิดจากปัญหาด้านสุขภาพ อาจต้องได้รับการรักษาเป็นพิเศษจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเท้า นอกจากนี้ควรทำการประเมินอาการกรณีที่ส้นเท้าแตกอย่างรุนแรงโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเท้า และต้องพิจารณาประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยด้วย เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยนี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น