ตกเลือด (Bleeding during pregnancy) : อาการ สาเหตุ การรักษา

การตกเลือด (Bleeding during pregnancy) คือภาวะที่มีเลือดออกมา ระหว่างตั้งครรภ์ บางครั้งอาจเป็นภาวะปกติที่ไม่ได้มีความน่ากังวลแต่หากการตกเลือดมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้

บางครั้งภาวะตกเลือด เลือดอาจเป็นสีชมพู แดง หรือน้ำตาลเข้ม (สีสนิม) คุณอาจสังเกตเห็นรอยเลือดเมื่อคุณใช้ห้องน้ำหรือเห็นบนกางเกงชั้นใน  ซึ่งจะเป็นปริมาณน้อย ไม่เหมือนประจำเดือน

การมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์อาจเกิดจากหลายปัจจัย โดยจะไม่เหมือนกับการมีประจำเดือน ถ้าหากคุณมีประจำเดือน คุณต้องใช้แผ่นรองหรือผ้าอนามัยเพื่อหยุดเลือดไม่ให้เปื้อนเสื้อผ้าของคุณ แต่เลือดออกขณะตั้งครรภ์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผ้าอนามัย

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์

ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากพบว่ามีเลือดออก หรือมีเลือดออกตลอดเวลาระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อระบุหรือประเมินอาการ

ในบางกรณีอาจมีความจำเป็นที่ต้องใช้ยาหากพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดได้ตลอดเวลาในระหว่างตั้งครรภ์

หากคุณพบว่ามีเลือดออกในไตรมาสที่สองหรือสาม ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที

การตกเลือดในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

หญิงตั้งครรภ์ประมาณ 25 เปอร์เซนต์ จะมีประสบการณ์เลือดออกในช่วง12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์

การศึกษาชิ้นหนึ่งจากปี 2010 พบว่า อาการเลือดออกสามารถพบได้บ่อยที่สุดในสัปดาห์ที่ 6 และ 7 ของการตั้งครรภ์ เลือดออกไม่ได้เป็นสัญญาณของการแท้งบุตรหรือหมายความว่ามีบางอย่างผิดปกติเสมอไป

การมีเลือดออกในช่วงไตรมาสแรกอาจเกิดจาก:

เลือดออกจากการฝังตัว

เลือดออกจากการฝังตัว เกิดขึ้น 6 ถึง 12 วัน เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวอ่อนกำลังฝังตัวที่ผนังมดลูก

แต่อาการเลือดออกจากการฝังตัวไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป ในบางคนอาจไม่มีอาการนี้

เลือดออกจากการฝังตัวมักมีเลือดสีชมพูอ่อนถึงน้ำตาลเข้มออกมา ซึ่งจะแตกต่างจากประจำเดือนตามปกติของคุณ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ผ้าอนามัยในการซับเลือด

เลือดออกจากการฝังตัว อาจเกิดขึ้นเป็นเวลาสองสามชั่วโมงถึง 3 วันและจะหยุดไปเอง

การตั้งครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครรภ์นอกมดลูกเกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิเกาะตัวนอกมดลูก

การมีเลือดออกหรือรอยเปื้อนในระหว่างตั้งครรภ์นอกมดลูกมักพบร่วมกับ :

ปวดท้องหรือกระดูกเชิงกรานบีบตัว

● อ่อนแรง เวียนศีรษะหรือเป็นลม 

ท้องอืดหรือปวดหน่วง

ถ้าหากว่าคุณมีอาการเหล่านี้ขณะตั้งครรภ์ ควรพบแพทย์โดยด่วน

การแท้งบุตร

การแท้งบุตรส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน 13 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ หากคุณรู้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์และพบว่ามีเลือดออกเป็นสีน้ำตาลหรือสีแดงสด ให้รีบปรึกษาแพทย์ของคุณ

คุณอาจมีอาการต่อไปนี้ :

  • ปวดหลังเล็กน้อยถึงรุนแรง
  • น้ำหนักลด
  • มีเมือกสีขาวอมชมพู
  • เป็นตะคริวหรือมีการบีบตัวที่บริเวณท้องน้อย
  • มีบางอย่างคล้ายก้อนเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด

แพทย์จะทำการตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบของระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนนี้เรียกว่า human chorionic gonadotropin (hCG)

การทดสอบจะห่างกัน 24 ถึง 48 ชั่วโมง เหตุผลที่คุณต้องตรวจเลือดมากกว่าหนึ่งครั้งคือ เพื่อให้แพทย์ของคุณสามารถระบุได้ว่าระดับเอชซีจีของคุณลดลงหรือไม่ การลดลงของระดับเอชซีจีบ่งบอกถึงการสูญเสียการตั้งครรภ์

การแท้งบุตรไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีปัญหาในการตั้งครรภ์ในอนาคต นอกจากนี้ยังไม่เพิ่มความเสี่ยงของการแท้งบุตรในอนาคต แม้ว่าคุณจะมีการแท้งบุตรหลายครั้งแล้วก็ตาม

สาเหตุอื่นๆที่ไม่สามารถระบุได้

นอกจากนี้ยังมีการแท้งบุตรที่ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ในการตั้งครรภ์ช่วงแรกร่างกายของคุณกำลังมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกอาจทำให้เกิดคราบเลือดจางๆในผู้หญิงบางคน

นอกจากนี้คุณอาจพบว่ามีคราบเลือดเกิดขึ้นเล็กน้อยหลังจากมีเพศสัมพันธ์

การติดเชื้อเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นไปได้ที่ทำให้มีการตกเลือด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรอยเลือดระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อที่แพทย์จะได้เฝ้าระวังในกรณีที่เป็นการตกเลือดอย่างรุนแรง

การตกเลือดในช่วงไตรมาสที่สอง

การมีเลือดออกเล็กน้อยในช่วงไตรมาสที่สอง อาจเกิดจากการระคายเคืองที่ปากมดลูก ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมักไม่ก่อให้เกิดความกังวลใดๆทางการแพทย์

เนื้องอกที่ปากมดลูกเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับการมีเลือดออกในไตรมาสที่สอง คุณอาจสังเกตเห็นจากบริเวณรอบๆ ปากมดลูกเนื่องจากมีเส้นเลือดเพิ่มขึ้นในเนื้อเยื่อรอบปากมดลูก แต่มักจะไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ

หากคุณพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดในปริมาณมากคล้ายประจำเดือน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที การมีเลือดออกมากในไตรมาสที่สอง อาจเป็นสัญญาณของเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น:

ตกเลือดในช่วงไตรมาสที่สาม

การมีเลือดออกเล็กน้อยในช่วงตั้งครรภ์อาจเกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์หรือการตรวจปากมดลูก ซึ่งเป็นเรื่องปกติและมักไม่ก่อให้เกิดความกังวล

หากคุณมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดอย่างหนักระหว่างตั้งครรภ์ช่วงปลาย ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจเกิดจาก:

  • รกเกาะต่ำ
  • รกลอกตัว
  • สายสะดืออยู่ต่ำ

อาการเหล่านี้ควรได้รับการดูแลทันที เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์

หากคุณพบว่ามีอาการไหลเบาขึ้นหรือมีรอยเปื้อนจางๆ คุณควรโทรหาแพทย์ของคุณทันที

สัญญาณของการแท้งบุตร

ไตรมาสแรก

การแท้งบุตรส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน 13 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ โดยการแท้บุตรในไตรมาสแรกมีมากถึง 10%

หากคุณมีเลือกออดติดต่อกันเกินสามชั่วโมง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที คุณอาจรู้สึกปวดหรือเป็นตะคริวที่หลังส่วนล่างหรือช่องท้องหรือมีของเหลวออกจากช่องคลอดพร้อมกับอาการต่อไปนี้:

  • น้ำหนักลด
  • มีเมือกสีขาวอมชมพู
  • การหดเกร็งของมดลูก

หากคุณมีอาการแท้งในช่วงสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณจะสามารถขับเนื้อเยื่อของทารกออกมาได้เองโดยไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางการแพทย์ใดๆ แต่คุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณคิดว่าคุณกำลังมีภาวะของการแท้งบุตร

หากมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจใช้การขยายและการขูดมดลูก เพื่อหยุดเลือดและป้องกันการติดเชื้อ ในช่วงเวลานี้ คุณควรได้รับการดูแลทางอารมณ์ควบคู่ไปด้วย

ไตรมาสที่สองและสาม

อาการของการแท้งบุตรในครรภ์ช่วงปลาย (หลัง 13 สัปดาห์) ได้แก่ :

● ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์

● เลือดออกทางช่องคลอดหรืมีรอยเปื้อน

ปวดหลังหรือท้อง

● มีของเหลวหรือเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกจากช่องคลอด

หากทารกในครรภ์ไม่มีชีวิตอีกต่อไป คุณอาจได้รับยาขับเลือก เพื่อนำทารกและรกอกอกมาทางช่องคลอดหรือแพทย์อาจตัดสินใจผ่าตัดเอาทารกในครรภ์ออก

การแท้งบุตรในไตรมาสที่สองหรือสามต้องได้รับการดูแลทางร่างกายและอารมณ์ ควรปรึกษาแพทย์ว่าจะกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่ หากคุณคิดว่าต้องการเวลาในการฟื้นตัวทางอารมณ์มากขึ้นควรแจ้งให้แพทย์ทราบ

หากคุณวางแผนที่จะตั้งครรภ์อีกครั้ง ให้ปรึกษาแพทย์ถึงระยะเวลาที่ควรพักก่อนที่จะพยายามตั้งครรภ์อีกครั้ง

การวินิจฉัยอาการตกเลือด

หากคุณพบว่ามีเลือดออกจากการฝังตัวหรือเลือดไหลไม่หยุดยนานกว่าสามชั่วโมง แพทย์อาจแนะนำให้คุณเข้ารับการประเมิน พวกเขาจะทำการตรวจทางช่องคลอดเพื่อประเมินปริมาณเลือดออก และอาจใช้การอัลตราซาวนด์ในช่องท้องหรือช่องคลอดเพื่อยืนยันถึงการมีชีวิตของทารกในครรภ์ ว่ายังคงมีสุขภาพดี มีพัฒนาการตามปกติและตรวจดูการเต้นของหัวใจ ในระหว่างการตั้งครรภ์คุณอาจจำเป็นต้องมีการตรวจเลือด เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถทำการวินิจฉัยถึงการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือการแท้งบุตรที่อาจเกิดขึ้นได้ และเป็นการยืนยันกรุ๊ปเลือดของคุณอีกด้วย

ปัจจัยเสี่ยงของการตกเลือด

เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นอาการที่น่ากังวล และมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่เกี่ยวข้อง สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ การมีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์ควรได้รับการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อหาสาเหตุและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการตั้งครรภ์ ปัจจัยเสี่ยงบางประการที่ทำให้เกิดเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่:
  • เลือดออกจากการฝังตัว : โดยปกติแล้วจะพบเห็นได้เล็กน้อยเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิเกาะติดกับเยื่อบุมดลูก โดยทั่วไปประมาณ 6-12 วันหลังการปฏิสนธิ ถือว่าเป็นเรื่องปกติและมักไม่ทำให้เกิดความกังวล
  • การแท้งบุตร : เลือดออกทางช่องคลอดอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแท้งบุตร โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก การแท้งบุตรคือการสูญเสียการตั้งครรภ์ก่อน 20 สัปดาห์
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก : สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวอยู่นอกมดลูก ซึ่งมักจะอยู่ในท่อนำไข่ เลือดออกทางช่องคลอด ร่วมกับอาการปวดท้องและอาการอื่นๆ อาจบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์
  • ปัญหาเกี่ยวกับรก : ภาวะต่างๆ เช่น รกเกาะต่ำ (เมื่อรกคลุมปากมดลูก) หรือการหยุดชะงักของรก (เมื่อรกหลุดออกจากผนังมดลูก) อาจทำให้มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์
  • การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก : การไหลเวียนของเลือดไปยังปากมดลูกที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้มีเลือดออกได้ โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์หรือการตรวจอุ้งเชิงกราน
  • การติดเชื้อ : การติดเชื้อที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดอาจทำให้มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์
  • ติ่งเนื้อปากมดลูก : สิ่งเหล่านี้คือการเจริญเติบโตที่ไม่เป็นมะเร็งที่ปากมดลูกซึ่งสามารถมีเลือดออกได้
  • สภาวะทางการแพทย์บางประการ : สภาวะต่างๆ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง หรือความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตกเลือด
  • ยา : ยาหรืออาหารเสริมบางชนิดอาจทำให้มีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์
  • การตั้งครรภ์แฝด : ในการตั้งครรภ์แฝด แฝดสาม หรืออื่น ๆ  อาจมีความเสี่ยงที่จะมีเลือดออกมากขึ้น
  • ประวัติการมีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ครั้งก่อน : หากคุณมีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ครั้งก่อน คุณอาจมีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลือดออกอีกครั้งในการตั้งครรภ์ครั้งต่อๆ ไปเล็กน้อย
สิ่งสำคัญคือต้องเน้นย้ำว่าควรมีการปรึกษาหารือกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพว่ามีเลือดออกในระหว่างตั้งครรภ์ทันที แม้ว่าเลือดออกบางส่วนอาจเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งสำคัญคือต้องแยกแยะสาเหตุเบื้องหลังที่ร้ายแรงกว่านี้ และดูแลให้ทั้งหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์มีความเป็นอยู่ที่ดี

ภาพรวม

เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้ทำให้เกิดสัญญาณอันตรายเสมอไป ผู้หญิงหลายคนมีอาการเลือดออกจากการฝังตัวในระหว่างตั้งครรภ์ระยะแรก นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องปกติที่จะพบรอยเปื้อนหลังจากมีเพศสัมพันธ์

แจ้งให้แพทย์ของคุณทราบคุณมีอาการเลือดไหลไม่หยุดหรือคุณพบอาการอื่นๆร่วมกับเลือดออก เช่น ตะคริว ปวดหลังหรือมีไข้


นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.acog.org/womens-health/faqs/bleeding-during-pregnancy
  • https://www.webmd.com/baby/guide/bleeding-during-pregnancy
  • https://www.nhs.uk/pregnancy/related-conditions/common-symptoms/vaginal-bleeding/
  • https://www.medicinenet.com/pregnancy_bleeding_during_the_first_trimester/article.htm

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด