โรคลมชักชนิดเหม่อ (Absence Epliepsy) : อาการ สาเหตุ การรักษา

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
โรคลมชักชนิดเหม่อ

ลมชักชนิดเหม่อคืออะไร

โรคลมชักชนิดเหม่อ (Absence Epliepsy) เป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการชัก อาการชักเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานของสมองชั่วคราว แพทย์ได้จัดหมวดหมู่และทำรักษาโรคลมชักตามประเภทของอาการชักที่เกิดขึ้น ซึ่งอาการของโรคลมชักชนิดนี้จะไม่มีอาการชักแต่จะเป็นอาการชักแบบ petit mal (เป็นอาการชักแบบเหม่อลอย มีการกระพริบตาถี่ หรืออาจจะมีการเลียริมฝีปาก)  เป็นช่วงสั้นๆ โดยปกติจะใช้เวลาน้อยกว่า 15 วินาที และแทบจะสังเกตอาการไม่พบ อย่างไรก็ตามการชักหมดสติแบบนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถทำให้อาการชักเป็นอันตรายได้

อาการของโรคลมชักชนิดเหม่อ

โรคลมชักแบบเหม่อลอยส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กอายุตั้งแต่ 5- 9 ปี แต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นกับในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน เด็กที่เป็นโรคลมชัก(ลมบ้าหมู)อาจมีอาการชักเกร็งกระตุกทั้งตัวให้เห็นหรือไม่มีอาการชักให้เห็น หากมีอาการชักแสดงให้เห็น อาการจะเกิดนานและรุนแรงกว่าแบบไม่มีอาการ

อาการที่แสดงกำลังชักแบบเหม่อลอย สังเกตได้ดังนี้ :

  • จ้องมองออกไปในอากาศ

  • เม้มริมฝีปากเข้าหากัน

  • กระพริบตาถี่

  • การหยุดพูดกลางประโยคกระทันหัน

  • มือกระตุก

  • เอนตัวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง

  • นิ่ง หยุดการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน

ผู้ใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเด็กที่กำลังชัก ไม่ได้เป็นอะไร แต่จะคิดไปว่าเด็กกำลังทำตัวแย่ ครูมักจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าเด็กเป็นโรคลมชักชนิดนี้ ซึ่งเด็กจะมีอาการดูเหมือนว่ากำลังเหม่อ และไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ

เราจะสังเกตได้ว่าคนที่อยู่รอบตัวเรากำลังชัก โดยจะสังเกตได้ว่าคนๆ นั้นไม่รับรู้สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว แม้จะสัมผัสหรือได้ยินเสียงอยู่ก็ตาม ถ้าเป็นโรคลมชักแบบแสดงอาการอาจจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ลมชักที่ไม่มีอาการมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีการเตือนล่วงหน้า ดังนั้นการเฝ้าสังเกตดูอาการของผู้ที่เป็นโรคนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องพวกเขาจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากโรคนี้

Absence Epliepsy

สาเหตุของโรคลมชักชนิดเหม่อ

สมองเป็นอวัยวะที่ซับซ้อน และร่างกายของเราต้องอาศัยสมองในการทำงานหลายอย่าง  เช่น รักษาการเต้นของหัวใจและการหายใจ เป็นต้น เซลล์ประสาทในสมองจะส่งสัญญาณไฟฟ้าและสัญญาณเคมีถึงกันเพื่อสื่อสารซึ่งกันและกัน  อาการชักอาจจะเกิดจากการทำงานของไฟฟ้าในสมองถูกรบกวน ซึ่งทำให้สัญญาณไฟฟ้าในสมองทำงานอย่างเดิมซ้ำๆ ทำให้เกิดอาการชัก คนที่เป็นโรคนี้ ระดับของสารสื่อประสาทอาจจะมีปัญหา ซึ่งสารสื่อประสาทเหล่านี้คือสารเคมีที่ช่วยให้เซลล์ในสมองสามารถสื่อสารถึงกันได้

นักวิจัยไม่ยังทราบสาเหตุที่เจาะจงต่อการเกิดอาการชัก ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นจากพันธุกรรมและอาจสามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ การเป็น Hyperventilation (การหายใจหอบลึก นานๆ จนทำให้เกิดความผิดปกติของค่าสารเคมีในเลือด) หรือการส่งสัญญาณที่ไม่ต่อเนื่องของเซลล์ในสมองอาจจะเป็นสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการชัก ซึ่งในขณะนี้แพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุอย่างอื่นที่การทำให้เกิดอาการชักนี้

การรักษาโรคลมชักชนิดเหม่อ

การใช้ยาต้านอาการชักสามารถรักษาอาการชักได้ โดยแพทย์จะให้ยาต้านการชักตามความรุนแรงของอาการ ซึ่งแพทย์จะมีการปรับยาจากน้อยไปมากจนกระทั่งได้ปริมาณที่เหมาะสมกับอาการที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างยาที่ใช้ในการรักษาอาการชักคือ:

  • ethosuximide (Zarontin)

  • ลาโมทริกซีน (Lamictal)

  • กรด valproic (Depakene, Stavzor)

สตรีมีครรภ์หรือสตรีที่กำลังวางแผนจะมีบุตรไม่ควรรับประทานยาประเภท กรดวาลโปรอิก เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติของเด็กที่จะคลอดออกมาได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างที่อาจเป็นอันตราย เช่น การขับรถและว่ายน้ำ เนื่องจากการชักจะทำให้สูญเสียการรับรู้ชั่วคราว อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือจมน้ำได้ แพทย์อาจจะแนะนำให้งดกิจกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากโรคนี้ จนกว่าจะแน่ใจว่าอาการของโรคสามารถควบคุมได้

ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรจะมีสัญลักษณ์ติดตัวให้สังเกตได้ว่าตนเป็นโรคนี้ เช่น สร้อยข้อมือประจำตัวทางการแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อื่นทราบได้ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉิน และควรบอกคนรอบข้างให้รู้ถึงวิธีแก้ไขเบื้องต้นหากมีอาการเกิดขึ้นกับตัวเอง

ภาพรวมของโรคลมชักชนิดเหม่อ

โรคลมชักชนิดเหม่อ คือโรคลมชักประเภทหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษคือหมดสติไปชั่วครู่กะทันหัน อาการเหล่านี้หรือ “ขาดหายไป” อาจเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีและมักมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การจ้องมองอย่างเหม่อลอย เปลือกตากระพือ หรือการกระตุกเล็กน้อยของริมฝีปากหรือนิ้ว ในระหว่างที่ไม่มีอาการชัก บุคคลนั้นอาจดูเหมือนถูกตัดขาดจากสภาพแวดล้อมรอบตัวในช่วงสั้นๆ และอาจไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ต่างจากอาการชักประเภทอื่นๆ บุคคลที่มีอาการชักแบบไม่มีอาการมักจะไม่ล้มลงกับพื้นหรือแสดงอาการชักกระตุก อาการชักเหล่านี้มักเข้าใจผิดว่าเป็นการฝันกลางวันหรือไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ล่าช้าได้ โรคลมชักชนิดเหม่อมักเริ่มในวัยเด็กหรือวัยรุ่น โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดเกิดขึ้นระหว่างอายุ 4 ถึง 12 ปี สาเหตุของโรคนั้นเชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางไฟฟ้าที่ผิดปกติในสมองซึ่งมีหน้าที่ในการถ่ายทอดประสาทสัมผัส และสัญญาณมอเตอร์เข้าและออกจากเปลือกสมอง การวินิจฉัยโรคลมชักนั้นเกี่ยวข้องกับการซักประวัติทางการแพทย์อย่างละเอียด การสังเกตอาการชัก และบ่อยครั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เพื่อติดตามการทำงานของสมอง การอ่านค่า EEG ในระหว่างอาการชักมักแสดงการคายประจุแบบพุ่งและคลื่นโดยทั่วไป ซึ่งเป็นรูปแบบลักษณะเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับโรคลมชักชนิดเหม่อ  การรักษาโรคลมชักชนิดเหม่อที่ไม่มีอยู่มักเกี่ยวข้องกับการรับประทานยากันชัก เช่น เอโทซูซิไมด์ กรดวาลโปรอิก หรือลาโมไตรจีน การค้นหายาและขนาดยาที่เหมาะสมอาจเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลจำนวนมากที่ไม่มีโรคลมชักชนิดเหม่อสามารถควบคุมอาการชักได้ดีด้วยการใช้ยาและใช้ชีวิตได้ตามปกติ สิ่งสำคัญที่ต้องทราบคือโรคลมชักชนิดเหม่อเป็นภาวะทางระบบประสาทที่ซับซ้อน การวินิจฉัยและการจัดการควรได้รับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น นักประสาทวิทยาหรือแพทย์ หากคุณหรือคนที่คุณรู้จักมีอาการคล้ายอาการชัก สิ่งสำคัญคือต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและคำแนะนำที่เหมาะสม

นี่คือที่มาของบทความของเรา

  • https://www.healthline.com/health/epilepsy/absence-petit-mal-seizures#outlook

  • https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/petit-mal-seizure/symptoms-causes/syc-20359683

  • https://medlineplus.gov/genetics/condition/childhood-absence-epilepsy/


เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด