เด็กทุกคนต้องการวัคซีนเพื่อเตรียมระบบภูมิต้านทานสำหรับเชื้อโรคที่พวกเขาต้องเจอ วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายจดจำเชื้อโรคอย่างรวดเร็วและช่วยป้องกันการติดเชื้อรุนแรง องค์การอนามัยได้แนะนำวัคซีนเด็กในแต่ละช่วงอายุ เริ่มต้นตั้งแต่แรกเกิดและไปสิ้นสุดตอนอายุ 18 ปี แต่อย่างไรก็ตามมีวัคซีนหลายตัวที่อาจจะต้องจัดการตลอดชั่วชีวิตด้วยการกระตุ้นวัคซีนที่เคยได้รับตอนเป็นเด็ก แพทย์จะแจ้งให้พ่อแม่หรือคนดูแลได้ทราบว่าเมื่อไรถึงในนัดสำหรับการฉีดวัคซีนเด็ก หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับกระบวนการวัคซีนหรืออยากรู้มากกว่านั้นควรปรึกษาแพทย์ ในบทความนี้จะให้เห็นความสำคัญของวัคซีนและได้รับคำแนะนำช่วงอายุในการรับวัคซีน

วัคซีนทำงานอย่างไร  

วัคซีนคือรูปแบบของเวชศาสตร์ป้องกันที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันกับโรคคิดเชื้อบางชนิด วัคซีนที่ถูกฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อเข้าไปกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อคนๆนั้นได้รับเชื้อไวรัสที่พวกเขาเคยได้รับวัคซีนมาก่อน -ยกตัวอย่างเช่นวัคซีนไข้หวัดใหญ่-ร่างกายก็จะจำเชื้อไวรัสได้อย่างรวดเร็วและผลิตแอนติบอดี้เพื่อกำจัดมัน การตอบสนองภูมิคุ้มกันนี้จะทำให้แน่ใจว่าเชื้อไวรัสจะถูกจัดการอย่างรวดเร็วก่อนมีการติดเชื้อเต็มร่างกายและทำให้เกิดอาการไม่สบายอย่างหนัก ตามข้อมูลของ World Health Organization (WHO) พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนจะช่วยปกป้องต่อสู้กับเชื้อโรคได้หลายปี วัคซีนบางตัวอาจต้องการการกระตุ้นเมื่อเวลาผ่านไปแต่มีอีกหลายๆตัวที่สามารถป้องกันได้ยาวนานตลอดชีวิต ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้วัคซีนมีประสิทธิภาพคือครั้งหนึ่งเมื่อร่างกายได้รับการสัมผัสเชื้อโรคที่เป็นเหตุของการติดเชื้อ ร่างกายจะจำวิธีการสร้างแอนติบอดี้ที่เกี่ยวข้องกันสำหรับการเจอเชื้อในครั้งถัดไป

ตารางสรุปการฉีดวัคซีน

ทาง Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ได้แนะนำวัคซีนพื้นฐาน 16 ชนิดสำหรับโรคที่อาจเป็นอันตราย เด็กได้รับวัคซีนคือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันเด็กๆจากการติดเชื้อที่รุนแรง แพทย์จะให้วัคซีนที่แตกต่างกันไปในเด็กขึ้นกับช่วงอายุของเด็ก

วัคซีนเด็กแรกเกิดและช่วงสองสามเดือนแรก

ทันทีหลังทารกเกิดและอีกหลายเดือนหลังจากนั้น เด็กอาจได้รับวัคซีนหลายตัวระบบภูมิต้านทานของเด็กยังอ่อนแอ

วัยแรกเกิด

ก่อนออกจากโรงพยาบาลทารกจะได้รับวัคซีนตับอักเสบบี

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

ทาง CDC เน้นว่าวัคซีนตับอักเสบบีคือสิ่งที่สำคัญสำหรับทารกและเด็ก ไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุทำให้ตับเกิดความเสียหาย

วัย 1–2 เดือน

ระหว่าง 1-2 เดือน ทางCDC แนะนำวัคซีนไว้ 6 ตัว ทารกจะได้รับด้วยการฉีดตามช่วงเวลาเฉพาะเจาะจง

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

เป็นเข็มที่สองจากสามโดสสำหรับไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTaP) 

วัคซีน A DTaP จะช่วยป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน ว่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากโรคเหล่านี้เช่ร อวัยวะบวมหรือไม่สามารถหายใจได้

วัคซีนโปลิโอ (IPV)

วัคซีน IPV จะช่วยป้องกันโรคโปลิโอ โรคนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงรวมถึงอัมพาต

วัคซีนโรคปอดอักเสบ(PCV)

วัคซีน PCV ช่วยป้องกันการติดเชื้อปอดอักเสบซึ่งรวมไปถึงโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบและการติดเชื้อในเลือด

วัคซีนไวรัสโรตา (RV)

วัคซีน RV ช้วยป้องกันไวรัสโรตาซึ่งเป็นสาเหตุของอาการเช่นท้องเสีย มีไข้และอาเจียน

วัคซีนฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา (Hib)

วัคซีน Hib จะช่วยป้องกันการติดเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนซา การติดเชื้อ Hib ที่รุนแรงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ถึงแก่ชีวิต เยื่อหุ้มสมองอักเสบและภาวะบกพร่องทางสติปัญญา

วัย 4–6 เดือน

เพิ่มเพื่อช่วยทำให้ภูมิต้านทานแข็งแรงเมื่อเด็กทารกโตขึ้น สิ่งที่สำคัญคือเด็กจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคบางชนิด

วัย 4 เดือน

เมื่ออายุ  4 เดือนทาง CDC แนะนำให้รับวัคซีนดังนี้:
  • ไวรัสตับอักเสบบี
  • DTaP
  • IPV
  • PCV
  • RV
  • Hib

วัย 6 เดือน

เมื่ออายุ 6 months ทาง CDC แนะนำให้รับวัคซีนดังต่อไปนี้:
  • DTaP
  • Hib
  • IPV
  • PCV
  • RV
วัคซีนบางตัวอาจต้องการในปริมาณโดสเล็กน้อยขึ้นอยู่กับยี่ห้อวัคซีนหรือเวลาของวัคซีนแต่ละชนิด vaccines for children

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (flu)

วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ทางCDC แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีเริ่มตั้งแต่ 6 เดือน เด็กจะต้องได้รับการฉีดสองเข็มห่างกัน 4 สัปดาห์สำหรับเด็กที่อายุ 8 ปีหรือต่ำกว่าและฉีดวัคซีนไข้หวัดเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นแนะนำให้ฉีดหนึ่งเข็มเป็นประจำทุกปี

1 ขวบถึง 23 เดือน

ระหว่าง 12 ถึง 23 เดือน ทาง CDC แนะนำให้รับวัคซีนดังนี้:
  • DTaP
  • IPV
  • PCV
  • ไวรัสตับอักเสบบี (หากเด็กยังไม่เคยได้รับสามโดสมาก่อน)
  • Hib
  • flu

วัคซีนคางทูม หัดและหัดเยอรมัน (MMR)

วัคซีน MMR ช่วยป้องกันคางทูม หัดและหัดเยอรมัน ภาวะแทรกซ้อนจากการคิดเชื้อเหล่านี้รวมไปถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หูหนวกและมีการบวมในสมองที่เป็นอันตราย

วัคซีนอีสุกอีใส(วาริเซลลา)

วัคซีนวาริเซลลาช่วยป้องกันการเกิดโรคอีสุกอีใส ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้ออาจมีความรุนแรงและอาจทำให้เกิดอาการบวมในสมองและปอดติดเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบเอ (hep A)

วัคซีน hep A ช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อนี้อาจรวมไปถึงตับวาย ปวดข้อและโรคเลือด ไตและม้าม

วัย 4–6 ปี

ในช่วงวัยนี้ ทาง CDC แนะนำให้เด็กรับวัคซีนดังต่อไปนี้:
  • DTaP
  • IPV
  • MMR
  • วาริเซลลาvaricella
  • ไข้หวัดflu

วัย 11–12 ปี

ทาง CDC แนะนำให้รับวัคซีนสี่ตัวสำหรับช่วงอายุก่อนวัยรุ่น รวมถึง:

วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น

ทาง CDC แนะนำให้เด็กก่อนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นทุกคนได้รับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น วัคซีนนี้ช้วยป้องกันโรคกาฬหลังแอ่น เป็นโรคที่สามารถทำให้เสียชีวิตได้ และ1ใน5ที่รอดชีวิตอาจพิการระยะยาว เช่นสูญเสียแขนขา หูหนวกหรือสมองเสียหาย

วัคซีนมะเร็งปากมดลูก(HPV)

วัคซีน HPV ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกเช่น มะเร็งปากมดลูกและหูดหงอนไก่  ทาง CDC แนะนำให้ฉีดวัคซีนโดสแรกสำหรับเด็กที่อายุระหว่าง 11-12 ปี และโดสต่อมาขึ้นอยู่ตารางวัคซีนตามที่แนะนำ

วัย 16–18 ปี

ในขณะที่เด็กเริ่มโตขึ้นอาจเกิดความเสี่ยงในการติดโรคที่แตกต่างกันออกไป

วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นชนิด บี (MenB)

สำหรับเด็กอายุระหว่าง 16-18 ปี ทาง CDC แนะนำให้รับวัคซีนในกลุ่มเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อกาฬหลังแอ่น แพทย์จะสั่งวัคซีนเป็นหลายๆโดส

วัคซีนในเด็กจำเป็นหรือไม่

วัคซีนสำหรับเด็กถือว่ามีความจำเป็นและได้รับคำแนะนำเป็นอย่างยิ่งจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และองค์กรต่างๆ เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) และองค์การอนามัยโลก (WHO) วัคซีนเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อที่ร้ายแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต รวมทั้งลดการแพร่กระจายของโรคติดต่อภายในชุมชน ต่อไปนี้เป็นเหตุผลหลายประการที่ทำให้วัคซีนสำหรับเด็กมีความจำเป็น:
  • การป้องกันโรคร้ายแรง:วัคซีนปกป้องเด็กจากโรคร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้หลากหลาย รวมถึงโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน โปลิโอ ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี คอตีบ บาดทะยัก และ Haemophilus influenzae type b (Hib) คนอื่น 
  • การคุ้มครองประชากรกลุ่มเปราะบาง: การให้วัคซีนเด็กช่วยปกป้องกลุ่มประชากรกลุ่มเปราะบางที่อาจมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น ทารกที่อายุน้อยเกินไปที่จะได้รับวัคซีน บุคคลที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และผู้สูงอายุ
  • ภูมิคุ้มกันหมู่ : การฉีดวัคซีนในสัดส่วนขนาดใหญ่ของประชากรรวมทั้งเด็ก ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันชุมชน ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรคติดเชื้อโดยรวม และปกป้องผู้ที่ไม่สามารถฉีดวัคซีนได้เนื่องจากเหตุผลทางการแพทย์
  • การป้องกันการระบาด:วัคซีนช่วยป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อโดยการลดจำนวนบุคคลที่อ่อนแอในชุมชน สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมต่างๆ เช่น โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่แออัดซึ่งโรคต่างๆ สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
  • ความคุ้มค่า:วัคซีนเป็นการแทรกแซงด้านสาธารณสุขที่คุ้มค่า ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน รวมถึงการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การไปพบแพทย์ และการดูแลรักษาทางการแพทย์ในระยะยาว
  • ความปลอดภัยและประสิทธิผล:วัคซีนผ่านการทดสอบและประเมินผลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลอย่างเข้มงวดก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้ใช้ ประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว
  • ผลกระทบต่อสุขภาพทั่วโลก:วัคซีนมีส่วนสำคัญต่อสุขภาพทั่วโลกโดยการลดภาระของโรคติดเชื้อทั่วโลกและช่วยชีวิตผู้คนนับล้านในแต่ละปี
เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองและผู้ดูแลที่จะต้องรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดการฉีดวัคซีนที่แนะนำสำหรับเด็ก และให้แน่ใจว่าบุตรหลานของตนได้รับวัคซีนที่แนะนำทั้งหมดตามกำหนดเวลาที่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือหน่วยงานด้านสาธารณสุขกำหนด การฉีดวัคซีนให้เด็กๆ ไม่เพียงช่วยปกป้องสุขภาพของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนทั้งหมดด้วย

บทสรุป

ข้อแนะนำจาก Global and governmental health organizations ในการรับวัคซีนสำหรับเด็กจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุและลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน คำแนะนำทั่วไปตามตารางนับตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 18 ปี แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่สถานการณ์ของเด็ก หากพ่อแม่ต้องการรู้เกี่ยวกับตารางการฉีดวัคซีนสามารถปรึกษาแพทย์ นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด