โรค KLS
โรค KLS หลายคนเรียกว่า “โรคเจ้าชายนิทรา” โรคคลีอิน-เลวีน ซินโดรม (KLS) คือ โรคที่พบได้ยาก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการง่วงนอนมากเกินไปบ่อยๆ ในบางรายอาจใช้เวลานอนต่อวันมากกว่า 20 ชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เองโรคนี้จึงได้ฉายาว่าเป็น “โรคเจ้าชายนิทรา” โรค KLS ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมและอาการสับสน โรคดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย แต่ในช่วงวัยรุ่นอาจมีอาการของโรคได้มากกว่าวัยอื่นๆ ราว 70% ของคนที่เป็นโรคดังกล่าวเป็นเพศชาย อาการของโรคสามารถเกิดขึ้นและหายไปเป็นเวลานาน บางครั้งก็เป็นๆหายๆยาวนานนับสิบปี ในช่วงเวลาที่เกิดอาการก๋อให้เกิดปัญหาในการไปโรงเรียน ทำงานหรือการเข้าร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆอาการของโรคเป็นอย่างไร
คนที่เป็นโรค KLS จะไม่มีอาการทุกวัน ในความเป็นจริงแล้วคนที่มีผลกระจากโรคนี้อาจไม่มีอาการใดๆให้เห็นเลย ในระหว่างช่วงที่ไม่มีอาการ แต่เมื่ออาการปรากฏ อาการดังกล่าวจะเป็นอยู่หลายวัน หลายสัปดาห์หรือแม้แต่หลายเดือน อาการโดยทั่วๆไปก็คือการนอนหลับที่ไม่ปกติมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อวัน คนที่เป็นโรค KLS อาจลุกมาเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหาร จากนั้นก็จะกลับไปนอนต่อต่อ อาการเหนื่อยล้าอาจมีความรุนแรงในคนที่เป็นโรค KLS คือการนอนติดเตียงจนกว่าอาการจะหายไป ซึ่งจะดึงเอาเวลาและพลังงานออกห่างจากครอบครัว เพื่อนและหน้าที่รับผิดชอบส่วนตัว ช่วงเกิดอาการนี้อาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการอื่นๆได้เช่น:- ประสาทหลอน
- ภาวะสับสน
- หงุดหงิด
- มีพฤติกรรมคล้ายเด็ก
- เบื่ออาหาร
- ความต้องการทางเพศมากเกินปกติ
สาเหตุของโรค KLSคืออะไรและใครบ้างที่เสี่ยงต่อโรคนี้
สาเหตุของโรค KLS ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่แพทย์บางท่านเชื่อว่ามีปัจจัยบางอย่างที่อาจเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น โรค KLS อาจเกิดขึ้นเพราะเกิดการบาดเจ็บที่ต่อมไฮโปทาลามัส ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่ควบคุมการนอนหลับ ความอยากอาหารและอุณหภูมิของร่างกาย การบาดเจ็บนี้อาจเกิดจากการตกจากที่สูงและหัวกระแทก แต่ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อความแน่ชัด ในบางรายเกิดอาการของโรค KLS หลังจากติดเชื้ออย่างเช่นไข้หวัดใหญ่ นักวิจัยบางคนเชื่อว่าโรค KLS อาจเป็นหนึ่งในโรคภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง คือเมื่อระบบภูมิต้านทานของร่างกายเข้าจู่โจมเนื้อเยื่อตนเอง บางรายที่เกิดอาการ KLS อาจมาจากกรรมพันธุ์ บางกรณีโรคนี้ส่งผลกระทบให้กับสมาชิกในครอบครัวมากกว่าหนึ่งคนการวินิจฉัยโรค KLS
โรค KLS คือโรคที่ยากต่อการวินิจฉัย เพราะเป็นโรคที่เกิดขึ้นพร้อมกับอาการทางจิต บางรายได้รับการวินิจฉัยที่ผิดๆว่าเป็นโรคทางจิตเวช อาจต้องใช้เวลาเฉลี่ยถึงสี่ปีสำหรับบางคนเพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องแม่นยำ ด้วยความเข้าใจว่าทุกคนต่างต้องการคำตอบที่รวดเร็ว แต่กระนั้น การวินิจฉัยโรค KLS นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องยกเว้น เราไม่สามารถใช้การทดสอบเพียงอย่างเดียวเพื่อนำมาระบุโรคได้ แพทย์อาจต้องตรวจหลายอย่างเพื่อตัดอาการเจ็บป่วยอื่นๆทิ้งไป อาการของโรค KLS สามารถเลียนแบบโรคอื่น ๆ ได้ แพทย์อาจตรวจร่างกายและทดสอบอื่นๆเพิ่ม อาจรวมไปถึงการทำงานของเลือด รูปแบบการนอน และเอกซเรย์ อาจรวมถึงซีทีสแกนหรือเอ็มอาร์ไอที่ศีรษะของคุณ แพทย์อาจใช้ผลจากการตรวจนี้มาตัดโรคบางโรคออกเช่น:- โรคเบาหวาน
- ภาวะขาดไทรอยด์
- เนื้องอก
- การอักเสบ
- การติดเชื้อ
- โรคเกี่ยวกับการนอนอื่นๆ
- โรคทางระบบประสาท เช่นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง
สามารถจัดการกับอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
มีตัวยาหลายตัวที่เหมาะสมในการช่วยจัดการอาการต่างๆเหล่านี้ เพื่อช่วยลดระยะช่วงเวลาในการเกิดอาการและป้องกันการเกิดอีกครั้งในอนาคต ยากระตุ้นอาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการนำมารักษาโรค KLS ถึงแม้ยาอาจมีผลให้เกิดอาการหงุดหงิด แต่ยานี้ก็จะช่วยให้ตื่นตัวและมีผลทำให้อาการง่วงนอนลดน้อยลง ทางเลือกนี้รวมไปถึงยาเมทิลเฟนิเดต (คอนเซอร์ตา) และ ยาโมดาฟินิล (โพรวิจิล) ยาที่ใช้รักษาโรคทางอารมณ์ก็อาจมีประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่น ลิเธียม (Lithane) และคาร์บามาเซพีน (เทเกรทอล) -ซึ่งมีไว้เพื่อรักษาโรคไพโบลาร์-ซึ่งอาจบรรเทาอาการโรค KLS ได้การใช้ชีวิตอยู่กับโรค KLS
เพราะอาการของโรค KLS สามารถเกิดขึ้นได้ยาวนานเป็นสิบปีหรือนานมากกว่านั้น การต้องมีชีวิตอยู่กับโรคนี้จึงมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก โรคส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน การเรียน และการสร้างสัมพันธภาพร่วมกับเพื่อนๆและครอบครัว โรคสามารถไปกระตุ้นให้เกิดภาวะวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า เพราะคุณไม่รู้ว่ามันจะเกิดอาการขึ้นตอนไหนหรือมีอาการยาวนานแค่ไหน หากคุณมีอาการหิวหรือกินมากเกินไปเพิ่มขึ้นด้วยในระหว่างเกิดอาการ คุณอาจต้องเจอกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ปรึกษาแพทย์ถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำเมื่อมีอาการ ความเหน็ดเหนื่อยและความง่วงนอนที่มาจากโรค KLS อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คุณอาจได้รับบาดเจ็บหรือทำให้คนอื่นได้รับบาดเจ็บหากอาการเกิดขึ้นในระหว่างกำลังขับขี่ยานพาหนะหรือกำลังใช้เครื่องจักร ควรเรียนรู้สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ และหากเป็นไปได้ให้พยายามพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่อาจเป็นอันตรายการรับประทานอาหาร
ในช่วงอาการของโรคไคลน์-เลวิน บุคคลอาจรู้สึกอยากอาหารเปลี่ยนแปลง และอาจนอนหลับเป็นเวลานานผิดปกติ แม้ว่า KLS จะไม่มีอาหารที่เฉพาะเจาะจง แต่การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและสมดุลสามารถส่งผลต่อความเป็นอยู่โดยรวมได้ ข้อควรพิจารณาด้านอาหารโดยทั่วไปมีดังนี้:- อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร:
-
-
- รับประทานอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นหลากหลาย รวมถึงผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี โปรตีนไร้ไขมัน และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถช่วยให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นได้
-
- ความชุ่มชื้น:
-
-
- รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นเพียงพอด้วยการดื่มน้ำและของเหลวอื่นๆ การขาดน้ำอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและอาจส่งผลต่อความเป็นอยู่โดยรวม
-
- ปริมาณคาเฟอีนปานกลาง:
-
-
- บางคนพบว่าการบริโภคคาเฟอีนในระดับปานกลางสามารถช่วยต่อสู้กับอาการง่วงนอนและเพิ่มความตื่นตัวได้ อย่างไรก็ตาม หลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใกล้ถึงเวลานอนเป็นสิ่งสำคัญ
-
- รูปแบบมื้ออาหารปกติ:
-
-
- ตั้งเป้ารับประทานอาหารที่สม่ำเสมอและสมดุลเพื่อช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่ การงดมื้ออาหารอาจทำให้เหนื่อยล้าได้
-
- จำกัดอาหารและน้ำตาลแปรรูป:
-
- ลดการบริโภคอาหารแปรรูปและของขบเคี้ยวที่มีน้ำตาลให้เหลือน้อยที่สุด เนื่องจากอาจส่งผลให้พลังงานลดลงและอาจส่งผลเสียต่ออารมณ์
- ความต้องการส่วนบุคคล:
- ความชอบและความต้องการด้านอาหารแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล พิจารณาความชอบและความละเอียดอ่อนของแต่ละบุคคลเมื่อวางแผนมื้ออาหาร
การเฝ้าติดตาม
การเฝ้าติดตามขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการแต่ละคน อาการทั่วๆอาจลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป อาจเกิดอาการน้อยลงและไม่บ่อยครั้งนัก ถึงแม้อาการของโรค KLS จะปรากฏเป็นๆหายๆเป็นเวลานานหลายปีก็ตาม แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าอาการของคุณอาจหายไปวันหนึ่งและไม่กลับมาเป็นอีกเลย คนที่เป็นโรค KLS เรียกภาวะนี้ว่า “หายขาด” เมื่ออาการไม่กลับมาเป็นอีกครั้งเป็นเวลามากกว่า 6 ปีขึ้นไปนี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5461852/
- https://klsfoundation.org/what-is-kleine-levin-syndrome/
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น