การบริจาคโลหิต สามารถช่วยชีวิตผู้อื่นได้ การบริจาคมีหลายแบบขึ้นกับความต้องการทางการแพทย์

บริจาคเลือดทั้งหมด

ส่วนใหญ่คนมักบริจาคแบบนี้ เมื่อท่านบริจาคเลือดไปแล้ว เลือดนั้นจะถูกแยกเป็น เม็ดเลือดแดง พลาสมาและเกร็ดเลือด

บริจาคแบบแยกส่วนประกอบ (Apheresis)

ระหว่างการบริจาค เลือดที่ออกมาจะผ่านเข้าเครื่องที่เก็บและแยกส่วนเลือด เช่น เม็ดเลือดแดง พลาสมาและเกร็ดเลือด (อย่างใดอย่างหนึ่ง) และส่วนของเลือดที่เหลือจะกลับสู่ร่างกายของผู้บริจาค

  • บริจาคเกล็ดเลือด จะเก็บเฉพาะเกล็ดเลือด ซึ่งช่วยให้เลือดหยุด (เมื่อเกิดบาดแผลทำให้เลือดออก) โดยเกาะกันเป็นก้อนทำให้เลือดหยุดได้ เกล็ดเลือดมักใช้กับผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ผู้ที่ได้รับเคมีบำบัด และทารกที่มีการติดเชื้อรุนแรง

  • Double red cell donation บริจาคเม็ดเลือดแดงสองเท่า การบริจาคชนิดนี้จะได้เม็ดเลือดแดงมากเป็นสองเท่าของที่สามารถจะให้ได้เมื่อเทียบกับการบริจาคเลือดทุกส่วน (whole blood donation)     เม็ดเลือดแดงทำหน้าที่ส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย ผู้ที่ต้องการเฉพาะเม็ดเลือดแดง เช่น ผู้ที่เสียเลือดรุนแรง เช่นหลังจากเกิดอุบัติเหตุหรือบาดเจ็บ และผู้ที่เลือดจางอย่างรุนแรง

  • Plasma donation บริจาคพลาสมา พลาสมาคือส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด ช่วยในการทำให้เลือดแข็งตัวและมีโปรตีนและสารอื่นๆ เช่น อิเล็กโตร์ไลท์ ที่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ พลาสมาใช้ในผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ ไฟไหม้ และติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงในกระแสเลือด

ความ

การบริจาคเลือดนั้นปลอดภัย เครื่องมือที่ใช้ ใหม่และปราศจากเชื้อ จึงไม่มีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ

หากท่านเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี สามารถบริจาคเลือดได้ครั้งละราวๆ 450-500. ซีซี โดยไม่มีอันตรายต่อร่างกาย ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการบริจาค ร่างกายจะสร้างของเหลวมาทดแทน และในสองสามสัปดาห์ ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดแดงมาทดแทนจนเท่าเดิม

การเตรียมตัว

คุณสมบัติ

ผู้ที่จะบริจาคเลือดทุกส่วน พลาสมาหรือเกล็ดเลือด ต้อง

  • สุขภาพสมบูรณ์

  • อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

  • นำ้หนักอย่างน้อย 45 กิโลกรัม

  • ผ่านการคัดกรองด้านกายภาพและประวัติสุขภาพ

    Blood Donation

คุณสมบัติของผู้บริจาคเลือด จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ โปรดตรวจสอบก่อน

อาหารและยา

ก่อนบริจาคเลือด

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก่อนบริจาค

  • งดอาหารมันๆ ในวันก่อนมาบริจาค เพราะไขมันในเลือดจะมีผลต่อการตรวจหาการติดเชื้อในเลือดที่บริจาค

  • ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว ก่อนบริจาคครึ่งชั่วโมง

  • หากจะบริจาคเกล็ดเลือด ควรงดแอสไพรินสองวันก่อนบริจาค

ผลลัพธ์

การตรวจ

เลือดที่บริจาคจะนำไปตรวจชนิดของเลือด  A, B, AB หรือ O —และ Rh factor แอนติเจนชนิดพิเศษในเลือด ซึ่งสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย จะแปลผลเป็น Rh+ กรือ Rh- หมายความว่ามี หรือไม่มีแอนติเจน ซึ่งสำคัญในการเลือกให้เลือดกับผู้ที่มีกลุ่มเลือดและ Rh ชนิดเดียวกัน

การตรวจโรคที่ติดต่อได้ทางเลือด เช่น ตับอักเสบ HIV และซิฟิลิสหากทุกอย่างปกติ จะนำเลือดไปใช้ในโรงพยาบาลต่างๆ หากผลผิดปกติ ศูนย์รับบริจาคจะแจ้งให้ท่านทราบและทิ้งเลือดไป

ใครที่ไม่ควรบริจาคเลือด

แม้ว่าการบริจาคโลหิตเป็นกิจกรรมที่สำคัญและช่วยชีวิตได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนมีสิทธิ์บริจาคโลหิต มีเกณฑ์และข้อจำกัดเฉพาะเพื่อความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคและผู้รับ ต่อไปนี้เป็นสาเหตุทั่วไปบางประการที่ทำให้บุคคลไม่ควรให้เลือด:
  • การเดินทางหรือการสัมผัสกับโรคติดเชื้อล่าสุด:บุคคลที่เพิ่งเดินทางไปยังภูมิภาคที่มีความชุกของโรคติดเชื้อสูงหรือเคยสัมผัสกับการติดเชื้อบางอย่าง อาจถูกเลื่อนการบริจาคเลือดชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคเหล่านี้ไปยังผู้รับ
  • โรคติดเชื้อ: โดยทั่วไปผู้ที่เป็นโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ซิฟิลิส หรือมาลาเรีย โดยทั่วไปไม่มีสิทธิ์บริจาคโลหิต เนื่องจากมีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไปยังผู้รับ
  • การผ่าตัดหรือขั้นตอนทางการแพทย์ล่าสุด:ผู้บริจาคโลหิตอาจถูกเลื่อนออกไปชั่วคราวหลังการผ่าตัดใหญ่หรือหัตถการทางการแพทย์ที่รุกล้ำเพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัวและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
  • เงื่อนไขทางการแพทย์และยา:เงื่อนไขทางการแพทย์หรือยาบางอย่างอาจทำให้บุคคลขาดคุณสมบัติในการบริจาคโลหิต ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีความผิดปกติของเลือด โรคหัวใจ หรือมีประวัติเป็นมะเร็งอาจถูกเลื่อนออกไป ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจส่งผลต่อการมีสิทธิ์เช่นกัน
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร:โดยทั่วไปแล้วบุคคลที่ตั้งครรภ์ไม่มีสิทธิ์บริจาคโลหิต หลังจากการคลอดบุตร ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มักจะถูกเลื่อนออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองมีสุขภาพที่ดีและสุขภาพของทารก
  • ระดับฮีโมโกลบินต่ำ:ผู้บริจาคจำเป็นต้องมีระดับฮีโมโกลบินหรือฮีมาโตคริตต่ำเพื่อให้แน่ใจว่าการบริจาคโลหิตจะไม่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  • เพิ่มมีรอยสักหรือเจาะตามส่วนของร่างกาย:ขึ้นอยู่กับข้อบังคับและแนวทางปฏิบัติของท้องถิ่น บุคคลที่ได้รับการสัก เจาะตามร่างกาย หรือการฝังเข็มอาจถูกเลื่อนออกไปตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • การใช้ยาฉีด:ผู้ที่ฉีดยาใช้เข็มหรืออุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันโดยทั่วไปไม่มีสิทธิ์บริจาคโลหิตเนื่องจากมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อโรคติดเชื้อ
  • ประวัติทางเพศ:บุคคลที่มีพฤติกรรมทางเพศโดยเฉพาะซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) หรือเชื้อโรคทางเลือดอาจถูกเลื่อนออกไปหรืออยู่ภายใต้เกณฑ์เฉพาะ
  • การบริจาคโลหิตครั้งล่าสุด:โดยทั่วไปจะมีช่วงรอคอยระหว่างการบริจาคโลหิตเพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาค และช่วยให้ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาใหม่ ระยะเวลารอนี้จะแตกต่างกันไปตามสถานที่ แต่มักจะอยู่ที่ประมาณ 8 สัปดาห์
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรึกษากับองค์กรบริจาคโลหิตในพื้นที่หรือธนาคารเลือดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และแนวทางคุณสมบัติเฉพาะในพื้นที่ของคุณ พวกเขาสามารถให้ข้อมูลว่าใครมีสิทธิ์บริจาคโลหิต และสามารถตอบคำถามหรือข้อกังวลใดๆ ที่คุณอาจมี

นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา

  • https://www.blood.co.uk/

  • https://cardio.org.ua/en/blood-donors-guide/

  • https://www.redcrossblood.org/donate-blood/how-to-donate/eligibility-requirements/eligibility-criteria-alphabetical.html

  • https://www.hsa.gov.sg/blood-donation

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด