ผู้เขียน Dr. Wikanda Rattanaphan
0
Default Thumbnail

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) คือ  

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) คือยาที่ใช้ในการต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สารต้านแบคทีเรีย โดยรักษาการติดเชื้อด้วยการฆ่าหรือลดการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย  ซึ่งก่อนที่จะมีการใช้ยาปฏิชีวนะพบว่ามีการเสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียมากถึง ร้อยละ 30 ของป่วยทั้งหมด ต้องขอบคุณยาปฏิชีวนะ ที่ทำให้สามารถรักษาการติดเชื้อที่มีความร้ายแรงในอดีตให้หายขาดได้  ในปัจจุบัน ยาปฏิชีวนะยังคงเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงและได้ช่วยชีวิตผู้ที่ติดเชื้อร้ายแรงบางชนิด นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อที่ร้ายแรงน้อยพัฒนาไปเป็นโรคที่มีความร้ายแรงมากขึ้น ยาปฏิชีวนะมีหลายระดับ ยาปฏิชีวนะบางประเภทใช้ได้ดีที่สุดสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด ยาปฏิชีวนะมีหลายรูปแบบ ได้แก่
  • ชนิดเม็ด 
  • ชนิดแคปซูล 
  • ชนิดน้ำ 
  • ชนิดครีม 
  • ชนิดขี้ผึ้ง 
ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่จะจ่ายให้ผู้ป่วยได้เฉพาะตามใบสั่งยาจากแพทย์ ซึ่งยาปฏิชีวนะชนิดครีมและขี้ผึ้งบางชนิดมีจำหน่ายตามร้านขายยาทัวไป

ยาฆ่าเชื้อต่อต้านแบคทีเรียได้อย่างไร 

ยาปฏิชีวนะต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรียโดยการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือชะลอและยับยั้งการเจริญเติบโต ซึ่งทำได้โดย:
  • โจมตีผนังเซลล์หรือส่วนโดยรอบที่ห่อหุ้มเซลล์แบคทีเรียเอาไว้
  • ขัดขวางการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรีย
  • ยับยั้งการผลิตโปรตีนในแบคทีเรีย

การใช้ยาปฏิชีวนะนานไหนในการออกฤทธิ์นาน 

ยาปฏิชีวนะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่เริ่มรับยา อย่างไรก็ตามอาจจะรู้สึกดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังจากการกินยา หลังการรักษาผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ และชนิดของยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษา  ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ควรกินอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 7- 14 วัน ในบางกรณีการรักษาในระยะเวลาที่สั้นกว่านั้นก็ใช้ได้ผลเช่นกัน โดยที่แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกประเภทของยาปฏิชีวนะและระยะเวลาที่ดีที่สุดในการรักษาให้กับคุณ แม้คุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากได้รับการรักษาเพียง 2-3 วัน แต่เพื่อผลของการรักษาที่ดีที่สุดควรกินยาปฏิชีวนะให้หมดหมด เพื่อรักษาอาการติดเชื้อได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะอีกด้วย อย่าหยุดกินยาปฏิชีวนะหลังจากกินยาเพียงไม่กี่วัน โดยไม่ได้ปรึกษากับุคลากรทางการแพทย์ก่อน

ยาปฏิชีวนะผลิตมาจากอะไร 

ยาปฏิชีวนะกลุ่มเบต้า – แลคแทม ชนิดแรกคือ เพนิซิลลิน ถูกค้นพบโดยบังเอิญ โดยพบว่าเติบโตจากก้อนเชื้อราบนจานเพาะเชื้อ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเชื้อราบางชนิดผลิตเพนิซิลินตามธรรมชาติ จนในที่สุดเพนิซิลลินถูกผลิตขึ้นในปริมาณมากผ่านกระบวนการหมักโดยใช้เชื้อราซึ่งทำในห้องปฏิบัติการ ยาปฏิชีวนะในยุคแรก ๆ บางชนิดผลิตโดยแบคทีเรียที่พบในดิน ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะทั้งหมดผลิตในห้องปฏิบัติการ(lab)  บางชนิดเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีหลายอย่างที่ผลิตสารเพื่อใช้เป็นยา ยาปฏิชีวนะอื่น ๆ อย่างน้อยก็มีบางส่วนที่ทำโดยกระบวนการทางธรรมชาติภายใต้การควบคุม กระบวนการนี้มักได้รับการปรับปรุงด้วยปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นเพื่อผลิตยาที่แตกต่างกัน How Do Antibiotics Work

การดื้อยาปฏิชีวนะคืออะไร 

ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่มีฤทธิ์แรงซึ่งใช้ได้ผลดีกับความเจ็บป่วยบางประเภท อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะบางชนิดมีประโยชน์น้อยกว่าที่เคยเป็นมาเนื่องจากมีการดื้อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น การดื้อยาปฏิชีวนะเกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถควบคุมหรือฆ่าแบคทีเรียโดยยาปฏิชีวนะบางชนิดได้อีกต่อไป ในบางกรณีอาจหมายความว่าไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับบางภาวะ ผู้ติดเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะมีจำนวนมากถึง 2 ล้านคน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23,000 คน ในแต่ละปี  เมื่อคุณใช้ยาปฏิชีวนะ แบคทีเรียที่อ่อนแอจะถูกกำจัดออกไป แบคทีเรียที่อยู่รอดในระหว่างการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมักจะมีความต้านทาน(ดื้อ)ต่อยาปฏิชีวนะชนิดนั้น แบคทีเรียเหล่านี้มักมีลักษณะจำเพาะที่ป้องกันไม่ให้ยาปฏิชีวนะทำงานได้ การติดเชื้อบางชนิดที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะอย่างรุนแรง ได้แก่

เชื้อ Clostridium difficile (C. diff)

การเจริญเติบโตอย่างมากมายของแบคทีเรียประเภทนี้ทำให้เกิดการติดเชื้อทั้งในลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ สิ่งนี้มักเกิดขึ้นหลังจากมีผู้ได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น C. diff สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะหลายชนิดได้ตามธรรมชาติ (Clostridium difficile หรือ Clostridiodes difficile (C. difficile) เป็นเชื้อก่อโรคกลุ่มแบคทีเรีย   แกรมบวกรูปแท่ง ดำรงชีพโดยไม่อาศัยออกซิเจน (anaerobic gram-positive bacilli) ทำให้เกิดอาการที่สำคัญคืออุจจาระร่วง และมีความสัมพันธ์กับประวัติการได้รับยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์กว้าง (broad-spectrum antibiotics))

เชื้อ Vancomycin-resistant enterococcus (VRE) 

แบคทีเรีย เหล่านี้มักทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด ทางเดินปัสสาวะ หรือแผลผ่าตัด การติดเชื้อนี้มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การติดเชื้อ Enterococci อาจได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ vancomycin แต่ VRE สามารถต้านทานการรักษาหรือดื้อต่อยาปฏิชีวนะนี้ได้

เชื้อ Staphylococcus aureus ที่ดื้อต่อ Methicillin (MRSA) 

การติดเชื้อประเภทนี้สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะแบบติดเชื้อ Staph แบบดั้งเดิม การติดเชื้อ MRSA  มักเกิดขึ้นที่ผิวหนังของผู้ป่วย โดยพบบ่อยที่สุดในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและผู้ที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

 เชื้อ Enterobacteriaceae ที่ดื้อต่อ Carbapenem (CRE)

แบคทีเรียจำพวกนี้สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ได้หลายชนิด การติดเชื้อ CRE มักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลและผู้ที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือมีสายสวนอยู่ภายใน สาเหตุที่สำคัญที่สุดของการดื้อยาปฏิชีวนะ คือ การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสม หรือการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป คาดว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยมีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีจำเป็น เนื่องจากยาปฏิชีวนะมักมีการสั่งจ่ายเมื่อผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องใช้    ขั้นตอนที่สำคัญเพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม สามารถทำได้หลายอย่าง เช่น :
  • กินยาปฏิชีวนะเฉพาะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย อย่าใช้ยาปฏิชีวนะในสภาวะของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไอ หรือเจ็บคอ
  • กินยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของบุคลาการทางการแพทย์ การใช้ยาในขนาดที่ไม่ถูกต้องการ ใช้ยาเกินขนาด หรือการกินยาปฏิชีวนะนานกว่าหรือสั้นกว่าเวลาที่กำหนดไว้ อาจทำให้แบคทีเรียเกิดการดื้อยาได้ แม้ว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากกินยา 2-3 วัน ก็ควรจะปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ก่อนที่จะหยุดกินใช้ยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่องต่อไป
  • กินยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่ถูกต้องกับชนิดของการติดเชื้ออาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ อย่ากินยาปฏิชีวนะที่กำหนดให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยคนอื่น นอกจากนี้อย่ากินยาปฏิชีวนะที่เหลือจากการรักษาครั้งก่อน ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณจะสามารถเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรักษาการติดเชื้อที่จำเพาะต่อคุณได้

ยาปฏิชีวนะใช้รักษาอะไร?

ยาปฏิชีวนะใช้สำหรับรักษาอาการติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย บางครั้งก็ยากที่จะระบุว่าการติดเชื้อนั้นเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัสเนื่องจากมักจะมีอาการคล้ายกันมาก ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณจะประเมินอาการ และทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อ ในบางกรณีอาจมีการขอตรวจเลือดหรือปัสสาวะซ้ำเพื่อยืนยันสาเหตุของการติดเชื้อ การติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อย ได้แก่ : ยาปฏิชีวนะไม่มีผลกับไวรัสที่ก่อโรคบางชนิด เช่นโรคไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่  นอกจากนี้ยังไม่มีผลต่อการรักษาโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคเหล่านี้จะได้รับการรักษาด้วยตัวยากลุ่มอื่นที่เรียกว่า ยาต้านเชื้อรา

อะไรคือผลข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ 

 ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงที่คล้ายคลึงกัน บางครั้งผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยที่สุด คือ ความรู้สึกไม่สบายในระบบทางเดินอาหาร (GI) ซึ่งได้แก่ ในบางกรณีผลข้างเคียงเหล่านี้อาจลดลงได้หากคุณกินยาปฏิชีวนะพร้อมอาหาร อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะบางชนิดต้องกินในขณะที่ท้องว่าง ขอคำแนะนำแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ยาปฏิชีวนะของคุณ อาการไม่สบายของระบบทางเดินอาหารต่อไปนี้ มักจะหายไปหลังจากที่คุณหยุดยา หากยังคงมีอาการอยู่ หรือมีอาการรุนแรงขึ้นควรปรึกษาแพทย์
  • ท้องร่วงรุนแรง 
  • ปวดท้องและตะคริวในช่องท้อง 
  • มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ 
  • เป็นไข้

หลักการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างมีประสิทธิภาพ

ยาปฏิชีวนะจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อมีการใช้อย่างเหมาะสม โดยเริ่มด้วยการตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณต้องการใช้ยาปฏิชีวนะจริงๆ หรือไม่ ใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียเฉพาะที่แพทย์สั่ง พูดคุยกับแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดในการใช้ยาปฏิชีวนะ บางชนิดควรกินพร้อมอาหารเพื่อลดผลข้างเคียง แต่บางชนิดต้องกินในขณะที่ท้องว่าง ควรใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณที่กำหนด และตามระยะเวลาที่เหมาะสม คุณอาจรู้สึกดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังจากเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ควรได้รับคำแนะนำจากผู้ให้บริการทางการแพทย์ของคุณก่อนที่จะหยุดการรักษาก่อนที่จะกินยาครบตามกำหนด

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด