ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) : ประโยชน์ และสิ่งควรรู้

ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) คือ วิตามินบี 2 พบมากทั้งในอาหารจากพืชและสัตว์ รวมทั้งนม เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว แป้งเสริม และผักใบเขียว ไรโบฟลาวินมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ของร่างกาย จำเป็นสำหรับการพัฒนาที่เหมาะสมของผิวหนัง เยื่อบุทางเดินอาหาร เซลล์เม็ดเลือด และการทำงานของสมอง คนส่วนใหญ่ใช้ไรโบฟลาวิน เพื่อป้องกันการขาดสารไรโบฟลาวิน (วิตามินบี 2) สำหรับไมเกรน และสำหรับโฮโมซิสเทอีนในเลือดในระดับสูง นอกจากนี้ยังใช้สำหรับรักษาสิว ตะคริวของกล้ามเนื้อ และอาการอื่นๆ ที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจนนัก ยาคลายกล้ามเนื้อกับเรื่องที่ควรรู้อ่านต่อที่นี่

ไรโบฟลาวินสำคัญอย่างไร

ไรโบฟลาวินช่วยสลายโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มันมีบทบาทสำคัญในการรักษาแหล่งพลังงานของร่างกาย ไรโบฟลาวินช่วยเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นอะดีโนซีน ไตรฟอสเฟต (ATP) ร่างกายมนุษย์ผลิต ATP จากอาหาร และ ATP สำคัญในการสร้างพลังงานตามที่ร่างกายต้องการ สารประกอบ ATP มีความสำคัญต่อการเก็บพลังงานในกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆ ของวิตามินบี 2 ได้แก่
  • บำรุงเยื่อเมือกในระบบย่อยอาหาร
  • บำรุงตับให้แข็งแรง
  • เปลี่ยนทริปโตเฟนเป็นไนอาซิน (กรดอะมิโน)
  • บำรุงสายตา เส้นประสาท กล้ามเนื้อ และผิวหนัง ให้แข็งแรง
  • ดูดซับ และกระตุ้นธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และวิตามินบี 1 บี 3 และบี 6
  • การผลิตฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต
  • ป้องกันการพัฒนาของต้อกระจก
  • พัฒนาการของทารกในครรภ์ 
งานวิจัยบางชิ้นพบว่า วิตามินบี 2 อาจช่วยป้องกันต้อกระจก และอาการปวดหัวไมเกรนได้ แต่จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาหลักฐานที่ชัดเจน และมีการศึกษาอื่น ๆ พบว่า ในเด็กที่เป็นออทิสติก อาหารเสริมที่มีวิตามินบี 2 และบี 6 และแมกนีเซียมอาจลดระดับกรดที่ผิดปกติในปัสสาวะ

แหล่งของ Ribloflavin คือ

ไรโบฟลาวินสามารถได้รับจากอาหารหลายชนิด ได้แก่ อาหารเหล่านี้
  • เนื้อหมู
  • เนื้อปลา 
  • สัตว์ปีก เช่น ไก่งวง ไก่ 
  • เนื้อวัว ไต และตับ
  • ไข่
  • ผลิตภัณฑ์นม
  • หน่อไม้ฝรั่ง
  • อาร์ติโช้ค
  • อะโวคาโด
  • พริกป่น
  • ลูกเกด
  • ซีเรียลเสริม
  • เคลป์
  • ถั่วลิมา ถั่วแดง และถั่ว
  • กากน้ำตาล
  • เห็ด
  • ถั่ว
  • พาสลีย์
  • ฟักทอง
  • โรสฮิป
  • มันหวาน
  • ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำดาว ผักโขม 
  • ขนมปังโฮลเกรน 
  • สารสกัดจากยีสต์
ไรโบฟลาวินสามารถละลายน้ำได้ ดังนั้นการทำอาหารอาจทำให้สูญเสียได้ โดยเฉพาะการต้ม หรือแม่กระทั่งการนึ่ง และเข้าไมโครเวฟ Riboflavin

เราต้องการไรโบฟลาวินเท่าไร

ตามปริมาณการแนะนำให้บริโภคต่อวัน (RDA) ของวิตามินบี 2 หรือไรโบฟลาวิน แนะนำว่าสำหรับผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไป ต้องการไรโบฟลาวิน 1.3 มิลลิกรัมต่อวัน และสำหรับผู้หญิงต้องการไรโบฟลาวิน 1.1 มิลลิกรัมต่อวัน  ในสตรีตั้งครรภ์ควรได้รับไรโบฟลาวิน 1.4 มก. ต่อวัน และสตรีให้น้ำนมบุตรต้องการไรโบฟลาวิน 1.6 มก. ต่อวัน

การขาดไรโบฟลาวิน

การขาดไรโบฟลาวินเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ เมื่อรับประทานอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ เนื่องจากร่างกายมนุษย์ขับวิตามินออกมาอย่างต่อเนื่องจึงไม่ถูกเก็บไว้ ผู้ที่มีภาวะขาด B2 มักจะขาดวิตามินอื่นๆ ด้วย การขาดไรโบฟลาวินสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท
  1. การขาดสารไรโบฟลาวินปฐมภูมิเกิดขึ้น เมื่ออาหารของบุคคลนั้นขาดสารไรโบฟลาวินโดยตรง
  2. การขาดสารไรโบฟลาวินทุติยภูมิที่เกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น เช่น เพราะลำไส้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินได้อย่างเหมาะสม หรือร่างกายใช้ไรโบฟลาวินไม่ได้ หรือเพราะถูกขับออกมาเร็วเกินไป
สัญญาณการขาดไรโบฟลาวิน ได้แก่
  • แผลในปาก
  • รอยแตกที่มุมปาก
  • ปากแตก
  • ผิวแห้ง
  • การอักเสบของเยื่อบุช่องปาก
  • การอักเสบของลิ้น
  • แผลในปาก
  • ริมฝีปากสีแดง
  • เจ็บคอ
  • ผิวอัณฑะผิดปกติ
  • โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก
  • ตาไวต่อแสงจ้า
สิ่งที่ทำให้เสี่ยงต่อได้รับไรโบฟลาวินไม่เพียงพอ นอกจากโภชนาการที่ไม่ดีแล้ว ยังรวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป จะทำให้ร่างกายไม่สามารถรับไรโบฟลาวินได้ดีเท่าทีควร ตาแพ้แสงอาการเป็นอย่างไรและแก้ไขได้อย่างไรอ่านต่อที่นี่
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด