โรคเมลิออยโดสิสคืออะไร
โรคเมลิออยโดสิส (Melioidosis) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Whitmore’s disease เป็นโรคที่ร้ายแรงที่สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ในทั้งมนุษย์และสัตว์ โดยมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ที่สามารถแพร่กระจายโดยการสัมผัสน้ำและดินที่ปนเปื้อน
โรคเมลิออยโดสิสนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขในเอเชียใต้ ออสเตเลียตอนเหนือ และพื้นที่อื่นที่มีสภาพอากาศแบบร้อนชื้น โรคเมลิออยโดสิส สามารถแพร่กระจายไปในพื้นที่ที่ไม่เคยก่อโรค ด้วยเหตุนี้เชื้อแบคทีเรีย B. pseudomallei ซึ่งเป็นตัวก่อโรคเมลิออยโดสิส ถูกระบุว่าเป็นอาวุธชีวภาพที่มีความรุนแรง
อาการของโรคเมลิออยโดสิส
อาการของโรคเมลิออยโดสิสมีหลายอย่างขึ้นอยู่กับประเภทของการติดเชื้อ ประเภทของโรคเมลิออยโดสิสได้แก่ การติดเชื้อในปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด ติดเชื้อจำเพาะบริเวณ และการติดเชื้อแบบแพร่กระจาย
โดยทั่วไป เมื่อได้รับเชื้อแล้วผู้ป่วยจะแสดงอาการราว 2-4 สัปดาห์ภายหลังสัมผัสเชื้อแบคทีเรีย และบางรายอาจเป็นโรคโดยไม่แสดงอาการอาการ
การติดเชื้อในปอด (Pulmonary infection)
เป็นอาการแสดงส่วนใหญ่ของโรคเมลิออยโดสิสที่จะเกิดในคนผ่านการติดเชื้อที่ปอด โดยปัญหาที่เกิดกับปอดนั้นอยู่ๆก็เกิดขึ้นเอง หรือเป็นผลมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด อาการแสดงของปอดอาจไม่รุนแรง เช่น หลอดลมอักเสบ หรืออาจรุนแรง เช่น ปอดบวม และ นำไปสู่การติดเชื้อจนถึงขั้นช็อกได้ ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock) เป็นการติดเชื้อในกระแสเลือดที่สำคัญนำไปสู่การเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
อาการของการติดเชื้อในปอด ได้แก่:
-
ไอแบบมีเสมหะ หรือไม่มีเสมหะ เรียกว่า ไอแห้งๆ
-
เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ
-
มีไข้สูง
-
น้ำหนักตัวลด
การติดเชื้อในปอดจากโรคเมลิออยโดสิส มีลักษณะคล้ายกับวัณโรค เนื่องจากโรคทั้งสองนำไปสู่ปอดบวม มีไข้สูง มีเหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักตัวลด มีเสมหะปนเลือด และมีหนองหรือเลือดในเนื้อเยื่อปอด การ X-ray ปอดที่เป็นโรคเมลิออยโดสิสอาจจะแสดงหรือไม่แสดงช่องว่างหรือโพรงภายในปอด เรียกว่า Cavitations ที่ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของวัณโรค
การติดเชื้อในกระแสเลือด (Bloodstream infection)
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว การติดเชื้อในปอดจะพัฒนาไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia) ซึ่งเป็นการติดเชื้อภายในกระแสเลือด การติดเชื้อในกระแสเลือดมักรู้จักกันในนามภาวะช็อกจากการติดเชื้อ (Septic shock) และเป็นอาการที่ร้ายแรงที่สุดของโรคเมลิออยโดสิส มักเกิดขึ้นเสมอและคุกคามชีวิต
ภาวะช็อกจากการติดเชื้อมักเกิดอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะค่อยๆพัฒนาขึ้นในบางราย อาการได้แก่:
-
มีไข้ โดยเฉพาะมีอาการตัวสั่น และเหงื่อออก
-
ปวดศีรษะ
-
มีปัญหาในการหายใจ เช่น หายใจเร็ว
-
ปวดท้องส่วนบน
-
ท้องเสีย
-
ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
-
สับสน
-
มีแผลที่เป็นหนองที่ผิวหนัง หรือภายในตับ ม้าม กล้ามเนื้อ หรือ ต่อมลูกหมาก
ผู้ที่มีโรคประจำตัวจะมีความเสี่ยงสูงในการพัฒนาโรคเมลิออยโดสิสไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด:
-
โรคไต
-
ติดสุราเรื้อรัง
-
โรคตับ
-
ปอดติดเชื้อเรื้อรัง เช่น ซิสติก ไฟโบรซิส โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหลอดลมโป่งพอง (Bronchiectasis)
-
โรคมะเร็ง หรือภาวะอื่นๆที่ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันแต่ไม่สัมพันธ์กับเอชไอวี (HIV)
ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป อาจมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อในกระแสเลือดของโรคเมลิออยโดสิส และมีอาการรุนแรงกว่าคนอายุน้อย
การติดเชื้อเฉพาะที่ (Local infection)
เป็นโรคเมลิออยโดสิสประเภทหนึ่งที่เกิดที่ผิวหนังและอวัยวะใต้ผิวหนัง การติดเชื้อเฉพาะที่สามารถแพร่กระจายไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อในกระแสเลือดก็เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อเฉพาะที่ อาการมีดังนี้:
-
ปวด หรือบวมเฉพาะที่ เช่น ต่อมน้ำลาย ซึ่งส่วนใหญ่สัมพันธ์กับโรคคางทูม
-
มีไข้
-
มีแผล หรือฝี บริเวณภายในหรือด้านล่างผิวหนัง โดยเริ่มจากเป็นก้อนเนื้อ ตุ่มสีเทาหรือขาวจากนั้นจะมีลัษณะนิ่มและอักเสบ จากนั้นจะมีลักษณะคล้ายแผลที่เกิดจากแบคทีเรียกัดกินเนื้อเยื่อ
การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย (Disseminated infection)
เป็นประเภทหนึ่งของโรคเมลิออยโดสิส จะเกิดแผลมากกว่าหนึ่งอวัยวะและอาจจะหรืออาจจะไม่สัมพันธ์กับภาวะช็อกจากการติดเชื้อ อาการมีดังนี้:
-
มีไข้
-
น้ำหนักตัวลด
-
ปวดท้อง หรือเจ็บหน้าอก
-
ปวดข้อและกล้ามเนื้อ
-
ปวดศีรษะ
-
ชัก
แผลที่ติดเชื้อส่วนมากมักเกิดภายในตับ ปอด ม้าม และต่อมลูกหมาก น้อยรายที่จะติดเชื้อบริเวณข้อ กระดูก ต่อมน้ำเหลือง หรือสมอง
สาเหตุของโรคเมลิออยโดสิส
มนุษย์และสัตว์ที่สัมผัสกับดินหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย B. pseudomallei โดยตรงจะนำไปสู่โรคเมลิออยโดสิส ส่วนใหญ่การสัมผัสโดยตรงได้แก่:
- การหายใจรับเอาฝุ่นหรือละอองฝอยที่ปนเปื้อนเชื้อ
- การดื่มน้ำที่มีเชื้อโดยน้ำไม่เคยฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน
- สัมผัสดินที่ปนเปื้อนเชื้อด้วยมือ หรือเท้า โดยเฉพาะหากมีบาดแผลที่ผิวหนัง
มีน้อยรายมากที่จะเกิดการแพร่เชื้อจากคนสู่สิ่งอื่น และแมลงไม่สามารถเป็นตัวแพร่เชื้อได้
แบคทีเรียสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นปีในดินและน้ำ
โรคเมลิออยโดสิสพบได้ที่ไหนบ้าง
โรคเมลิออยโดสิสเกิดที่ไหน
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสาเหตุของโรคเมลิออยโดสิสเกิดในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนหลายแห่ง รายงานผู้เป็นโรคเมลิออยโดสิสส่วนมากมักเกิดในพื้นที่ดังนี้:
-
ประเทศไทย
-
มาเลเซีย
-
สิงคโปร์
-
ตอนเหนือของออสเตเลีย
และนอกจากนี้ยังพบได้มากในประเทศเวียดนาม ปาปัวนิวกินี ฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ มีรายงานน้อยในอเมริกากลาง บราซิล เปรู เม็กซิโก และเปอร์โตริโก
สภาพอากาศกับการแพร่เชื้อ
การระบาดของโรคเมลิออยโดสิสมักเกิดหลังช่วงที่ฝนตกหนัก พายุ ไต้ฝุ่น หรือน้ำท่วม แม้ในพื้นที่ที่แห้งแล้ง โรคปอดบวมมักเป็นอาการแสดงแรกที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว อาจมีวิธีอื่นในการแพร่กระจายเชื้อแบคทีเรียสู่สิ่งแวดล้อมที่ยังไม่มีใครค้นพบ
ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
ผู้ที่มักจะสัมผัสเชื้อ B. pseudomallei ในน้ำหรือดิน ได้แก่:
-
เจ้าหน้าที่ทหาร
-
คนงานในเขตก่อสร้าง เกษตกร ชาวประมง และกรมป่าไม้
-
นักผจญภัย และนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เช่น ผู้ที่ใช้เวลาในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรค
สัตว์ที่ได้รับผลกระทบ
สัตว์หลายตัวที่อ่อนแอต่อโรคเมลิออยโดสิส นอกจากจะสัมผันกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อน สัตว์ยังได้รับเชื้อแบคทีเรียจากนมสัตว์ ฉี่ มูลสัตว์ สารคัดหลั่งจากจมูก และบาดแผล ซึ่งส่วนใหญ่มีผลต่อ:
-
แพะ
-
แกะ
-
สุกร
มีรายงานเคยเกิดโรคในม้า แมว สุนัข วัว ไก่ สัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้อง ปลาเขตร้อน อิกัวน่า และสัตว์อื่นๆ สิ่งดังกล่าวได้ฆ่าประชากรสวนสัตว์บางส่วน
การวินิจฉัยโรคเมลิออยโดสิส
โรคเมลิออยโดสิสส่งผลต่ออวัยวะส่วนใหญ่และมีลักษณะคล้ายหลายๆโรค จึงเป็นเหตุผลที่ว่าบางครั้งถูกเรียกว่า the great imitator (ผู้ลอกเลียนที่ยิ่งใหญ่) แต่การวินิจฉัยผิดสามารถนำไปสู่การเสียชีวิตได้
การเพาะเชื้อแบคทีเรีย B. pseudomallei เป็นมาตรฐานที่ได้รับการแนะนำในการตรวจวินิจฉัย โดยแพทย์จะเก็บตัวอย่างเล็กน้อยจากเลือด เสมหะ หนอง ปัสสาวะ น้ำไขข้อ น้ำในช่องท้อง หรือน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ส่งตรวจเพื่อทำการเพาะหาเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การเพาะเชื้ออาจไม่สำเร็จในทุกรายที่เป็นโรคเมลิออยโดสิส
บางครั้งระหว่างที่เกิดการระบาด ผู้เชี่ยวชาญจะเก็บตัวอย่างจากดินหรือน้ำ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคบอกเป็นการเสนอความช่วยเหลือในการวินิจฉัย
การรักษาโรคเมลิออยโดสิส
การักษาโรคเมลิออยโดสิสมีหลากหลายวิธีขึ้นอยู่กับประเภทของโรค
การรักษาในขั้นแรกของโรคเมลิออยโดสิสคือการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาอย่างน้อย 10-14 วัน การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอาจกินเวลานานกว่า 8 สัปดาห์ โดยแพทย์จะสั่งยา:
-
ceftazidime (Fortaz, Tazicef), ให้ทุกๆ 6-8 ชม.
-
meropenem (Merrem), ให้ทุกๆ 8 ชม.
ขั้นตอนที่สองของการรักษาคือการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 3-6 เดือน:
-
sulfamethoxazole-trimethoprim (Bactrim, Septra, Sulfatrim), รับประทานทุกๆ 12 ชม.
-
doxycycline (Adoxa, Alodox, Avidoxy, Doryx, Monodox), รับประทานทุกๆ 12 ชม.
จะไม่เกิดการติดเชื้อซ้ำหากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะครบตามที่แพทย์สั่ง ยกเว้นรับยาไม่ครบ
การป้องกันโรคเมลิออยโดสิส
ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเมลิออยโดสิสในมนุษย์ แม้ว่าจะกำลังศึกษาอยู่
ผู้ที่อาศัยอยู่ หรือไปในพื้นที่โรคเมลิออยโดสิสมักเกิด สิ่งที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้แก่:
-
เมื่อทำงานในน้ำหรือดิน ควรสวมรองเท้าบูทกันน้ำและถุงมือ
-
หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินและอยู่ในน้ำ หากมีแผลเปิด เป็นโรคเบาหวานหรือโรคไตเรื้อรัง
-
ระวังการสัมผัสเชื้อโดยการสูดดมระหว่างสภาพอากาศที่แย่
-
บุคลากรทางการแพทย์ควรสวมหน้ากากอนามัย ถุงมือ และเสื้อกาว์น
-
การแปรรูปเนื้อสัตว์ควรสวมถุงมือและหมั่นฆ่าเชื้อมีด
-
หากดื่มผลิตภัณฑ์จากนม ต้องแน่ใจว่าผ่านการพาสเจอร์ไรส์แล้ว
-
เข้ารับการคัดกรองโรคเมลิออยโดสิสหากคุณเริ่มการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเมลิออยโดสิส
โรคเมลิออยโดซิสเป็นโรคติดเชื้อที่อาจคุกคามถึงชีวิต เกิดจากแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei แบคทีเรียนี้พบได้ทั่วไปในดินและน้ำในบางภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลียตอนเหนือ โรคเมลิออยโดสิสอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ซึ่งบางรายอาจรุนแรงได้ ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเมลิออยโดสิส:- ภาวะโลหิตเป็นพิษ (การติดเชื้อในกระแสเลือด):โรคเมลิออยโดสิสมักเริ่มต้นจากการติดเชื้อเฉพาะที่ แต่สามารถลุกลามไปสู่ภาวะโลหิตเป็นพิษได้ ซึ่งแบคทีเรียจะเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่อาการทางระบบ เช่น มีไข้ หนาวสั่น และภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นภาวะที่คุกคามถึงชีวิตได้
- โรคปอดบวม:หากแบคทีเรียติดเชื้อในปอด อาจทำให้เกิดโรคปอดบวมรุนแรง ทำให้เกิดภาวะหายใจลำบากและกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) นี่เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่อาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- ฝี: Burkholderia pseudomallei สามารถสร้างฝีในอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ ม้าม และกล้ามเนื้อ ฝีเหล่านี้รักษาได้ยากและอาจต้องใช้การระบายน้ำหรือการผ่าตัด
- การติดเชื้อของกระดูกและข้อ:โรคเมลิออยโดสิสอาจส่งผลต่อกระดูกและข้อต่อทำให้เกิดกระดูกอักเสบ (การติดเชื้อของกระดูก) หรือโรคข้ออักเสบจากการติดเชื้อ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อ บวม และจำกัดการเคลื่อนไหว
- การติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน:การติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน รวมถึงเซลลูไลติและฝีที่ฝังลึก อาจเกิดขึ้นได้จากภาวะแทรกซ้อนของโรคเมลิออยโดสิส
- ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท:พบไม่บ่อย โรคเมลิออยโดสิสสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท เช่น ฝีในสมอง หรือโรคไข้สมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น อาการชัก การเปลี่ยนแปลงสติ และการขาดดุลทางระบบประสาท
- การติดเชื้อต่อมหู:การติดเชื้อของต่อมหูติด (ต่อมน้ำลายที่อยู่ด้านหน้าหู) เป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเมลิออยโดสิสที่พบได้น้อยกว่า แต่มีบันทึกไว้
- ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและความผิดปกติของอวัยวะหลายส่วน (MODS):ในกรณีที่รุนแรง โรคเมลิออยโดสิสอาจลุกลามไปสู่ภาวะติดเชื้อ ซึ่งการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อจะควบคุมไม่ได้และอาจนำไปสู่กลุ่มอาการความผิดปกติของอวัยวะหลายส่วน (MODS) นี่เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิตได้
- การกำเริบของโรค:แม้หลังจากรักษาการติดเชื้อระยะแรกได้สำเร็จแล้ว โรคเมลิออยโดสิสก็สามารถกำเริบได้ในบางครั้ง โดยต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม
แนวโน้มของโรคเมลิออยโดสิส
แม้ว่าจะมีการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำที่ใหม่กว่า แต่ผู้คนจำนวนมากยังคงเสียชีวิตจากโรคเมลิออยโดสิสทุกปีโดยเฉพาะจากการติดเชื้อในกระแสเลือดและภาวะแทรกซ้อน อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นในพื้นที่ที่เข้าถึงการรักษาได้จำกัด ผู้ที่ไปเที่ยวในพื้นที่เสี่ยงโรคควรระมัดระวังและทำตามขั้นตอนในการเลี่ยงการสัมผัสเชื้อ หากนักท่องเที่ยวเกิดโรคปอดบวมหรือเกิดภาวะช็อกจากการติดเชื้อจากการกลับมาจากพื้นที่เขตร้อนชื้นหรือกึ่งร้อนชื้น แพทย์จำเป็นต้องคิดถึงโรคเมลิออยโดสิสในการวินิจฉัย
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.medicinenet.com/melioidosis/article.htm
-
https://www.cdc.gov/melioidosis/index.html
-
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12767750/