ปัญหาจากหมู่เลือด Rh (Rhesus disease) เป็นภาวะที่แอนติบอดี้ในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ทำลายเซลล์เม็ดเลือดของทารก เป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “โรคเม็ดเลือดของทารกในครรภ์” และทารกแรกเกิด (HDFN) ไม่เป็นอันตรายต่อมารดา แต่อาจทำให้ทารกเป็นโรคโลหิตจางและเป็นโรคดีซ่านได้
อาการของปัญหา Rh ทารกในครรภ์
หากทารกในครรภ์พบปัญหาจากหมู่เลือด Rh อาจส่งผลกระทบให้โรคโลหิตจางเกิดขึ้น เพราะเซลล์เม็ดเลือดแดงของพวกเขาถูกทำลายเร็วกว่าปกติโดยแอนติบอดี้ และเมื่อทารกเป็นโรคโลหิตจาง เลือดของทารกก็จะน้อยลง และไหลเร็วขึ้น ซึ่งปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอาการใดๆ ที่เห็นได้ชัดเจน แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยการ “อัลตราซาวนด์ดอปเลอร์” หากทารกมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อนของโรคจำพวก เช่น บวมภายใน ระหว่างการสแกน ตรวจสอบพัฒนาการของทารกแรกเกิดได้ที่นี่อาการของปัญหา Rh ทารกแรกเกิด
ปัญหาของหมู่เลือด Rh ในทารกแรกเกิดคือ โรคโลหิตจาง และโรคดีซ่าน รวมทั้งอาจจะทำให้ทารกมีกล้ามเนื้อต่ำ (Hypotonia) และอ่อนแรง ส่วนมากมักจะไม่แสดงอาการชัดเจนเสมอไปเมื่อเกิด อาการบางครั้งอาจเกิดขึ้นได้ถึง 3 เดือนหลังจากนั้นการคลอด โดยอาการมีดังต่อไปนี้- โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดเกิดขึ้นเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย หากแม่มีหมู่เลือด RhD- จะทำให้เกิดการถ่ายทอดเลือดผ่านรกเข้าสู่กระแสเลือดของทารกที่มีเลือด RhD ทำให้เลือดของทารกถูกโจมตี และโดนทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้ทารกแรกเกิดมีผิวซีด หายใจถี่ ไม่เจริญอาหาร และตัวเหลือง
- อาการดีซ่าน หรืออาการตัวเหลืองในทารกแรกเกิด คือ อาการที่ผิวหนัง และตาขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ในทารกที่มีผิวสีเข้ม อาการเหลืองจะเด่นชัดที่สุดในดวงตา หรือบนฝ่ามือ และฝ่าเท้า โรคดีซ่านเกิดจากการสะสมของสารเคมีที่เรียกว่า “บิลิรูบิน” ในเลือด บิลิรูบินเป็นสารสีเหลืองที่สร้างขึ้นตามธรรมชาติในร่างกายเมื่อเซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัว โดยปกติตับจะขับออกจากเลือด และจะขับออกทางปัสสาวะได้เล็กน้อย
สาเหตุของปัญหาหมู่เลือด Rh คือ
โรคจำพวกนี้เกิดขึ้นเมื่อมารดามีเลือด RhD negative (RhD -) และทารกในครรภ์มีเลือดบวก RhD positive หรือ (RhD +) สิ่งที่เกิดขึ้นเราเรียกว่า “การแพ้” การแพ้เกิดขึ้นเมื่อแม่ที่มีเลือด RhD – สัมผัสกับเลือด RhD + ของทารก โดยปกติเมื่อระหว่างการตั้งครรภ์ทารกที่เกิดปัญหาดังกล่าว จะทำให้ร่างกายของแม่ผลิตแอนติบอดี้ เพื่อทำการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม นั่นคือ เลือดของทารกที่มีหมู่เลือดต่างกัน เลือดของทารกเป็นสิ่งแปลกปลอม และแอนติบอดี้ของแม่จึงทำลายเม็ดเลือดของลูก และหากเกิดอาการแพ้ ทำให้ครั้งต่อไปที่ผู้หญิงได้รับเลือด RhD+ ร่างกายของเธอจะผลิตแอนติบอดี้ทันที ทำให้หากเธอตั้งครรภ์ทารกที่มีเลือด RhD+ อีกครั้ง แอนติบอดี้สามารถโจมตีเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยจะส่งผลเสียยาวนานได้ถึง 2-3 เดือน หลังคลอด และอาจสร้างอันตรายอย่างมากกับทารกการป้องกันปัญหาหมู่เลือด Rh ต่างกัน
ปัญหาเหล่านี้พบได้ไม่บ่อยนักในทุกวันนี้ เพราะปัจจุบันสามารถป้องกันได้โดยฉีด “Anti-D immunoglobulin” ผู้หญิงทุกคนจะได้รับการตรวจเลือด เพื่อตรวจคัดกรองเพื่อตรวจว่าเลือดของพวกเขาเป็นลบหรือเป็นบวก หากมารดาเป็น RhD- เธอจะได้รับการฉีดอิมมูโนโกลบูลินต่อต้าน D (Anti-D immunoglobulin) ในบางช่วงของการตั้งครรภ์ เมื่อมารดาอาจสัมผัสกับเซลล์เม็ดเลือดแดงของทารก อิมมูโนโกลบูลินต่อต้าน D นี้จะช่วยกำจัดเซลล์เม็ดเลือด RhD ของทารกในครรภ์ก่อนที่จะทำให้เกิดอาการแพ้ หากผู้หญิงได้พัฒนาแอนติบอดี้ต่อต้านในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน การฉีดอิมมูโนโกลบูลินเหล่านี้จะไม่สามารถช่วยได้ แต่แพทย์จะใช้วิธีการติดตามการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิดทดแทนการรักษาปัญหา Rh (Rhesus Disease)
การรักษาโรคนี้จะขึ้นกับความรุนแรง และปัจจัยต่างๆ การรักษาโรคหลังการให้กำเนิดทารกที่พบปัญหาดังกล่าว แพทย์จะทำการรักษาด้วยแสงไฟ การถ่ายเลือด และการฉีดสารละลายแอนติบอดี้ (อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ) เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย หากปล่อยไว้ไม่รักษา หากโรคนี้ทำให้เกิดภาวะที่รุนแรงอาจนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของทารกได้ในระหว่างตั้งครรภ์ และในกรณีที่ทารกคลอดอออกมาได้ก็อาจทำให้สมองถูกทำลาย มีปัญหาในการเรียนรู้ หูหนวก และตาบอดได้ อย่างไรก็ตามการเข้ารับการรักษา และตรวจติดตามโดยแพทย์อย่างใกล้ชิดสามารถช่วยให้คุณแม่ก้าวข้ามวิกฤตินี้ได้อย่างปลอดภัย เครื่องช่วยฟังกับการเลือกใช้งาน อ่านต่อได้ที่นี่หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น