น้ำอัดลม (Sparkling water) คือ เครื่องดื่มที่มีการอัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbonated beverage) เดิมเข้าไป ในกรณีที่ไร้สีไร้กลิ่นจะเรียกว่า น้ำโซดา (Carbonated water) โดยมากน้ำอัดลมจะมีการเติมสารให้ความหวาน หรือเปรี้ยว เพื่อให้มีรสชาติตามต้องการ มีการเติมสีเพื่อให้สวยงามน่ารับประทาน รวมทั้งวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรส โดยไม่มีแอลกอฮอล์  เป็นเครื่องดื่มที่นิยมเพื่อฟื้นฟูพลังงาน เพราะร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปปรับใช้ให้เป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว เจึงมีคำแนะนำให้เด็กและผู้ใหญ่ดื่มน้ำอัดลม หากเกิดปัญหาไม่สามารถรับประทานอาหารอื่นได้ เพราะนอกจากจะเพิ่มปริมาณของเหลวให้ร่างกายแล้ว น้ำอัดลมยังถูกนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการคลื่นไส้หลังการผ่าตัดด้วย ทั้งยังช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และดับความกระหาย

ประโยชน์ของน้ำอัดลม

แม้ว่าน้ำอัดลมจะไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ประโยชน์ของน้ำอัดลมที่มีต่อร่างกายก็ยังมีดังต่อไปนี้

  • บรรเทาอาการไอ ต้นกำเนิดของเครื่องดื่มชนิดนี้คือการผลิตยาแก้ไอที่เกิดข้อผิดพลาด ทำให้น้ำชนิดนี้ที่มีสีดำคล้ายยาแก้ไอ และมีรสหวานที่ให้ความรู้สึกชุ่มคอ และเนื่องจากยาแก้ไอและน้ำอัดลมมีโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกันมาก การบริโภคอัดลมที่พอเหมาะจึงช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองที่คอได้
  • ช่วยลดไข้ แม้ว่ากรดคาร์บอนิกจะทำให้เกิดโทษน้ำอัดลม เพราะเสี่ยงที่จะกัดกร่อนหินปูนจนทำให้ฟันผุได้ก็จริง แต่สารชนิดนี้ก็มีฤทธิ์เป็นยาลดไข้ได้เช้นกัน มีงานวิจัยน้ำอัดลมพบว่าในกรณีของเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถใช้น้ำอัดลมลดไข้ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลข้างเคียงอย่างยาเพนนิซินได้
  • ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะช็อค ภาวะช็อคเกิดขึ้นเมื่อร่างกายขาดแร่ธาตุ และน้ำมากเกินไป มักมีอาการร่วมอย่างการอาเจียน คลื่นไส้ เป็นลม หรือท้องเสีย การจิบน้ำอัดลมเพื่อร่างกายได้รับน้ำตาลกลูโคสจะช่วยให้ร่างกายมีแรง รู้สึกกระปรี่กระเปร้า และยังเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย จึงมักลดโอกาสการเกิดภาวะช็อกได้
ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลม ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลมเฉลี่ยจะอยู่ที่ร้อยละ 7-14 ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูง เพราะร่างกายคนเราต้องการน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัมต่อวันเท่านั้นในช่วงวัยหนุ่มสาวที่อายุ 14 – 25 ปี และจะยิ่งลดลงเมื่ออายุมากขึ้น อย่างไรก็ดีมีการวิจัยน้ำอัดลมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างโค้กไม่มีน้ำตาลที่ได้มีการจัดจำหน่ายในท้องตลาดมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่งมีการนำสารให้ความหวานมาทดแทนปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลม ซึ่งสารให้ความหวานเหล่านี้จะมีรสหวาน แต่ไม่มีพลังงาน แต่ก็มีบางงานวิจัยระบุว่าสารให้ความหวานนั้นจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดอาการโหยน้ำตาลมากขึ้น เกิดอาการที่เรียกว่าติดหวานซึ่งจะทำให้หิวได้ง่ายและบ่อยขึ้น ทำให้กินอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวได้

เครื่องดื่มน้ำอัดลมควรดื่มบ่อยแค่ไหน

เมื่อส่วนประกอบของน้ำอัดลมคือน้ำ ก๊าซ และน้ำตาลเป็นหลัก หลายคนจึงเกิดความสงสัยว่าสามารถดื่มได้บ่อยหรือไม่ ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่าการดื่มน้ำอัดลมจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยง ดังต่อไปนี้

เสี่ยงเป็นไตวาย 

แม้ว่าจะเลือกดื่มโค้กไม่มีน้ำตาลก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดไตวายก็ยังคงอยู่ เพราะสารให้ความหวานสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพไตได้ ยิ่งในกรณีที่ดื่มเป็นประจำทุกวัน

เพิ่มความเสี่ยงการเป็นเกิดมะเร็ง 

การดื่มน้ำอัดลมทุกวันอาจไม่ได้สร้างผลเสี่ยงของการเกิดมะเร็งโดยตรง แต่บรรจุภัณฑ์พลาสติกของน้ำอัดลมอาจเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้

เสี่ยงที่จะเกิดปัญหาที่หัวใจและระบบเลือด 

เนื่องจากการดื่มน้ำอัดลมทุกวันจะส่งผลต่อการเพิ่มของระดับคลอเลสเตอรอลที่ไม่ดี จึงเพิ่มความเสี่ยงของโรคความดันโลหิต และโรคหัวใจได้

ปัญหาต่าง ๆ ของผิวพรรณ 

การดื่มน้ำอัดลมทุกวันมีผลกระทบต่อผิวพรรณไม่แตกต่างกับการสูบบุหรี่ การกินโซดาแทนน้ำสามารถส่งผลต่อการอักเสบของร่างกาย เกิดปัญหาผิวขาดน้ำ ซึ่งทำให้เกิดรอยย่นหรือริ้วรอย ผิวหมองคล้ำได้

สุขภาพร่างกายอ่อนแอลง 

ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ  อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายอ่อนแอลง เนื่องจากการดื่มเครื่องดื่มน้ำอัดลมจะทำให้แคลเซียมดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง

เกิดปัญหาในช่องปาก 

ส่วนประกอบที่มีความเป็นกรดและน้ำตาลของน้ำอัดลม จะส่งผลให้สารเคลือบฟันเกิดความเสียหายและทำให้มีโอกาสเกิดฟันผุ  ยิ่งเมื่อกินน้ำอัดลมมากเกินไป ก็ยิ่งส่งผลต่อแคลเซียม ส่งผลให้สุขภาพฟันยิ่งย่ำแย่ลงได้

ภาวะขาดวิตามิน 

กรดฟอสฟอรัสในน้ำหวาน น้ำอัดลมบางชนิดมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและขับสารอาหารที่มีประโยชน์ออกจากร่างกายได้

เกิดความวิตกังวล

น้ำอัดลมจะส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ อันเป็นผลข้างเคียงของคาเฟอีน การดื่มบ่อยๆ ยังทำให้เกิดการเสพติด เมื่อไม่ดื่มก็จะเกิดอาการปวดหัว หงุดหงิด กระวนกระวายได้What is <a href=Sparkling Water” width=”612″ height=”408″ />

โทษของน้ำอัดลม

น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม จัดเป็นเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลในน้ำอัดลมสูงและไม่มีคุณค่าทางสารอาหาร ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย แต่เมื่อหลายคนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบด้านสุขภาพ น้ำอัดลมจึงถูกปรับให้ดูอันตรายน้อยลง เช่นการเลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียม เพื่อลดปริมาณแคลลอรี่ลง แต่ความเสี่ยงต่อสุขภาพก็ยังคงมีอยู่ ดังนี้ ปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลมจากการสำรวจน้ำอัดลมประเภทต่างๆพบว่า น้ำอัดลมในกลุ่มน้ำดำมีน้ำตาล 9.3 ช้อนชา ในกลุ่มน้ำสีมีน้ำตาล 14.5 ช้อนชาและในกลุ่มน้ำใสมีน้ำตาล 11 ช้อนชา

น้ำอัดลมมีผลต่อสุขภาพฟันหรือไม่ 

 แน่นอนว่าโทษของน้ำอัดลมที่กล่าวถึงกันมากนั้นก็คือปัญหาที่มีต่อสุขภาพฟัน เพราะในน้ำอัดลมประกอบด้วยน้ำตาล และกรดคาร์บอกนิก น้ำตาลหากรับประทานในปริมาณมาก ๆ และเป็นประจำจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในช่องปากที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนกรดคาร์บอนิกจะส่งผลกระทบต่อการดูดซึมแคลเซียมทำให้ฟันและกระดูกของร่างกายเสื่อมลงได้

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม

หลานคนมักสงสัยว่าคนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม เพราะแม้ว่าน้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัย แต่แพทย์มักไม่แนะนำให้คนที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานเนื่องมาจากปริมาณน้ำตาลในน้ำอัดลมที่สูงมากอาจทำให้คนท้องเกิดภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ได้ น้ำอัดลมบางชนิดยังมีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารชนิดนี้อาจส่งผลให้คนท้องมีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติได้ เครื่องดื่มน้ำอัดลมที่มีความซ่าและรสเปรี้ยวนั้น เกิดเนื่องมาจากเกิดจากกรดคาร์บอนิก ซึ่งกรดชนิดนี้มีฤทธิ์ย่อยหินปูนได้ ซึ่งในภาวะที่กำลังตั้งครรภ์นั้นร่างกายของคนท้องจะต้องใช้แคลเซียมมากเป็นพิเศษ เพื่อนำไปใช้ในพัฒนาการของทารก จึงมีภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนง่ายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานกรดคาร์บอนิกเพื่อเพิ่มความเสี่ยง

ใครที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม

น้ำอัดลมหรือน้ำโซดาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นน้ำที่ผสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีแรงดัน ซึ่งจะสร้างฟองอากาศและคาร์บอนไดออกไซด์ โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยและเป็นทางเลือกที่สดชื่นแทนน้ำเปล่าหรือโซดาหวาน อย่างไรก็ตามมีบางคนที่อาจต้องหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม:
  • โรคกรดไหลย้อน :คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลมอาจทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดอาการเสียดท้องและไม่สบายตัว  
  • อาการลำไส้แปรปรวน :ผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน บางคนอาจพบว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลมอาจทำให้ท้องอืดและมีแก๊สได้  
  • กระเพาะอาหารระคายเคือง:หากคุณมีกระเพาะที่ระคายเคืองหรือมีประวัติเกี่ยวกับปัญหาทางเดินอาหาร คาร์บอนไดออกไซด์ในน้ำอัดลมอาจทำให้รู้สึกอิ่ม มีแก๊ส หรือไม่สบายตัว คุณอาจต้องการน้ำเปล่าเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนทางเดินอาหารที่อาจเกิดขึ้น
  • สุขภาพฟัน:บางคนมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของน้ำอัดลมที่มีต่อสุขภาพฟัน แม้ว่าน้ำอัดลมโดยทั่วไปจะมีความเป็นกรดน้อยกว่าโซดาและมีโอกาสทำให้ฟันผุน้อยกว่า แต่ก็แนะนำให้ดื่มในปริมาณที่พอเหมาะและรักษาสุขอนามัยในช่องปากให้ดี
  • ปริมาณแร่ธาตุ:น้ำอัดลมบางยี่ห้ออาจมีแร่ธาตุในระดับที่สูงกว่า เช่น โซเดียม ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ ตรวจสอบปริมาณแร่ธาตุบนฉลากหากคุณต้องการควบคุมปริมาณโซเดียมของคุณ
  • การบริโภคที่มากเกินไป:แม้ว่าโดยทั่วไปการบริโภคน้ำอัดลมในปริมาณปานกลางจะปลอดภัย แต่การบริโภคเครื่องดื่มอัดลมมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ ซึ่งอาจรวมถึงการเจือจางกรดในกระเพาะอาหารและลดการดูดซึมแร่ธาตุ แนะนำให้ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่พอเหมาะ
  • ข้อควรพิจารณาด้านโภชนาการ น้ำอัดลมที่เติมน้ำตาลหรือสารให้ความหวานเทียม อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพได้  หากคุณกังวลเรื่องน้ำตาลหรือสารปรุงแต่งเทียม
 
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด