เชื้อเอชไพโลไรคืออะไร (What Is H. pylori)

เชื้อ (Helicobacter pylori) h. pylori คือเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง เป็นเชื้อโรคที่สามารถเข้าสู่ร่างกายและอาศัยอยู่ในทางเดินอาหาร หลังจากผ่านไปหลายๆปี เชื้อนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลที่เรียกว่าแผลเปื่อย เป็นแผลในเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนบน ในบางรายอาจเกิดการติดเชื้อในกระเพาะอาหารที่นำไปสู่มะเร็งกระเพาะอาหาร การติดเชื้อร่วมกับเชื้อเอชไพโลไรคือเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป ประมาณสองในสามของประชากรโลกมักมีเชื้อดังกล่าว เชื้อเอชไพโลไรไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดแผลเปื่อยหรือทำให้เกิดอาการอื่นๆ หากมีปัญจากภาวะดังกล่าว การรับประทานยาจะสามารถฆ๋าเชื้อโรคและช่วยรักษาแผลได้ ยิ่งอยู่ในบริเวณที่อยู่ที่มีแหล่งน้ำที่สะอาดและถูกสุขอนามัย ยิ่งมีโอกาสจะได้รับเชื้อแบคทีเรียน้อยลง เพื่อสร้างเสริมนิสัยในการดูแลสุขภาพที่ดีก็จะสามารถข่วยป้องกันตัวเองและลูกๆของคุณให้ไกลห่างจากเชื้อเอชไพโลไรได้

เชื้อไพโลไรจะทำให้ป่วยได้อย่างไร

เมื่อหลายสิบปีก่อนแพทย์เคยคิดว่าแผลเปื่อยเกิดจากความเครียด อาหารรสจัด การสูบบุหรี่และพฤติกรรมการใช้ชีวิตอื่นๆ แต่เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบเชื้อเอชไพโลไรในปี 1982 ก็ทำให้พบว่าเชื้อโรคคือสาเหตุส่วนใหญ่ของแผลในกระเพาะอาหาร หลังจากเชื้อเอชไพโลไรเข้าสู่ร่างกาย เชื้อก็จะเข้าจู่โจมที่เนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร ซึ่งตามปกติจะช่วยปกป้องคุณจากกรดของร่างกายที่มีไว้เพื่อย่อยอาหาร ทันทีที่เชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายสร้างความเสียหายของเนื้อเยื่อได้มากพอ กรดก็จะสามารถผ่านเข้าไปที่เนื้อเยื่อได้ซึ่งจะทำให้เกิดแผลขึ้น แผลที่เกิดขึ้นอาจมีเลือดออก เป็นสาเหตุของการติดเชื้อหรือไม่ขวางไม่ให้อาหารเดินทางผ่านทางเดินอาหาร เชื้อเอชไพโลไรสามารถรับเชื้อผ่านทางอาหาร น้ำหรือภาชนะเครื่องใช้ มักพบเจอได้ในประเทศหรือชุมชนส่วนใหญ่ที่ขาดแคลนน้ำสะอาดหรือระบบระบายน้ำเสียที่ดี เรายังสามารถได้รับเชื้อผ่านการสัมผัสกับน้ำลายน้ำลายหรือของเหลวที่มีการติดเชื้ออื่นๆของคน หลายๆคนได้รับเชื้อเอชไพโลไรในระหว่างวัยเด็ก แต่วัยผู้ใหญ่ก็สามารถรับเชื้อได้เช่นกัน เชื้อโรคนี้จะอาศัยอยู่ในร่างกายได้นานหลายปีก่อนจะแสดงอาการ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักไม่ค่อยเกิดแผลขึ้น แพทย์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมถึงมีบางคนเท่านั้นที่เป็นแผลหลังการติดเชื้อ อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: โรคที่เกิดจากนกพิราบอ่านต่อที่นี่

อาการ

หากมีแผลอาจรู้สึกมวนหรือปวดแสบร้อนที่ท้อง อาการจะมาแล้วก็หายไป แต่ในบางคนอาจรู้สึกมีอาการมากขึ้นหากปล่อยให้ท้องว่าง เช่นในช่วงเวลาระหว่างมื้ออาหารหรือในช่วงกลางดึก อาการอาจเป็นอยู่ไม่กี่นาทีหรืออาจมีอาการนานหลายชั่วโมง และอาจรู้สึกดีขึ้นหลังได้รับประทานอาหาร ดื่มน้ำหรือรับประทายาลดกรดเข้าไป สัญญานของแผลในกระเพาะอาหารรวมไปถึง: แผลเปื่อยสามารถทำให้เลือดออกเข้าไปในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ควรได้รับยาทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้:
  • อุจจาระปนเลือดสีแดงเข้มหรือดำ
  • มีปัญหาการหายใจ
  • วิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
  • รู้สึกอ่อนล้ามากโดยไม่มีเหตุผล
  • สีผิวซีดเซียว
  • อาเจียนเป็นเลือดหรือดูมีสีคล้ายสีกาแฟบด
  • ปวดท้องแปลบอย่างรุนแรง
การติดเชื้อเอชไพโลไรเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคจะมีอาการไม่มากนักในช่วงแรกเช่น ปวดแสบร้อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจสังเกตเห็นอาการดังต่อไปนี้:
  • ปวดท้องหรือท้องบวม
  • คลื่นไส้
  • ไม่รู้สึกหิว
  • รู้สึกอิ่มหลังรับประทานอาหารเพียงแค่เล็กน้อย
  • อาเจียน
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบเหตุผล
H.Pylori

การวินิจฉัยโรค

หากยังไม่มีอาการของแผลในกระเพาะอาหาร แพทย์อาจจะยังไม่ตรวจหาเชื้อเอชไรโลไร แต่หากมีอาการทั้งในตอนปัจจุบันหรือเคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้รับการตรวจ ยาเช่นยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์สามารถสร้างความเสียหายให้เนื้อเยื่อกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องหาสาเหตุให้เจอว่าอะไรทำให้เกิดอาการเพื่อจะสามารถรักษาได้ทันที ในตอนเริ่มแรกแพทย์จะสอบถามประวัติโรคประจำตัว อาการและยาที่กำลังรับประทาน จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายซึ่งรวมไปถึงการกดตรวจที่หน้าท้องเพื่อดูอาการบวม กดเจ็บหรือปวด และอาจได้รัการตรวจอื่นๆเช่น:
  • ตรวจเลือดและอุจจาระ เพื่อช่วยตรวจหาการติดเชื้อ
  • การตรวจหาเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร การตรวจทำโดยดื่มของเหลวพิเศษที่มีสสารที่เรียกว่ายูเรีย จากนั้นให้หายใจเข้าไปในถุง จากนั้นแพทย์จะส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการ หากมีเชื้อเอชไพโลไร เชื้อแบคทีเรียจะเปลี่ยนยูเรียในร่างกายไปเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ และการตรวจจากห้องปฏิบัติการจะแสดงให้เห็นว่าในลมหายใจจะมีค่าระดับก็าซที่สูงกว่าปกติ
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ: แผลในกระเพาะอาหารได้ที่นี่ เพื่อดูแผลในกระเพาะอาหารอย่างใกล้ชิดแพทย์อาจใช้วิธีการตรวจเช่น:
  • การส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ในโรงพยาบาลแพทย์จะใช้ท่อที่มีกล้องเล็กๆติดอยู่ที่เรียกว่าเอนโดสโคป เพื่อดูลงไปในลำคอและเข้าไปในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนบน การส่องกล้องเข้าไปเพื่อเก็บตัวอย่างเอาไปตรวจเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย ในการตรวจอาจหลับหรือตื่นในระหว่างการตรวจ แต่คนไข้จะได้รับยาที่ทำให้รู้สึกสบายในระหว่างการตรวจ
  • การตรวจระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ที่โรงพยาบาลแพทย์จะให้ดื่มของเหลวที่เรียกว่าแบเรี่ยมและแพทย์จะเอกซเรย์ ของเหลวดังกล่าวจะเข้าไปเคลือบคอและกระเพาะอาหาร ทำให้สามารถเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น
  • การทำซีทีสแกน เป็นการเอกซเรย์ที่ทำให้เห็นภาพภายในร่างกายที่ละเอียดมากขึ้น
หากมีเชื้อเอชไพโลไร แพทย์อาจขอตรวจหามะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่ม ด้วยวิธีดังต่อไปนี้:
  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจเลือดเพื่อตรวจหาโรคโลหิตจาง ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากมีเนื้องอกที่มีเลือดออก
  • การตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระ ซึ่งเป็นการอุจจาระเพื่อหาดูว่ามีเลือดออกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหรือไม่
  • ส่องกล้องเอนโดสโคป
  • ส่งชิ้นเนื้อตรวจ แพทย์จะนำเอาเนื้อเยื่อชิ้นเล็กๆจากกระเพาะอาหารไปตรวจหาสัญญานของโรคมะเร็ง ซึ่งแพทย์อาจทำในระหว่างการส่องกล้องเอนโดสโคป
  • การตรวจที่ทำให้เห็นภาพภายในร่างกายที่ละเอียดมากขึ้นเช่นการทำซีทีสแกนหรือการทำเอ็มอาร์ไอ

การรักษาเชื้อเอชไพโลไร

หากมีแผลเปื่อยที่มีสาเหตุมาจากเชื้อเอชไพโลไร คุณจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อฆ่าเชื้อโรค รักษาเนื้อเยื่อกระเพาะอาหารและรักษาแผลจากการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งปกติมักใช้เวลาในการรักาาให้ดีขึ้นราว 1 ถึง 2 สัปดาห์ แพทย์จะบอกให้ทราบถึงความแตกต่างชนิดของยาสองสามชนิด ซึ่งมีทางเลือกดังต่อไปนี้:
  • ยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียในร่างกายเช่น อะม็อกซิลิน คลาริโทรมัยซิน (Biaxin) เมโทรนิดาโซล (Flagyl) เตเตร้าไซคลิน (Sumycin) ทินิดาโซล (Tindamax) ซึ่งอาจต้องได้รับอย่างน้อยสองชนิดในกลุ่มยาดังกล่าวนี้  
  • ยาช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารด้วยการไปปิดกั้นปั้มเล็กๆที่เป็นตัวผลิตกรด เช่น เด็กซ์แลนโซปราโซล (Dexilant) อีโซเมปราโซล แลนโซพราโซล (Prevacid) โอเมพราโซล (Prilosec) แพนโทพราโซล (Protonix) หรือราบีพราโซล (Aciphex)        
  • บิสมัท ซับซาลิไซเลต อาจช่วยฆ่าเชื้อเอชไพโลไรร่วมกับยาปฏิชีวนะ
  • ยาที่ไปปิดกั้นสารเคมีฮีสตามีน ซึ่งเป็นการช่วยเตรียมกระเพาะอาหารให้พร้อมสำหรับกรดที่มากขึ้น เช่น ไซเมทิดีน (Tagamet) ฟาโมทิดีน (Fluxid, Pepcid) ไนซาทิดีน (Axid)หรือรานิทิดีน (Zantac)    
การรักษาหมายความถึงการรับประทานยา 14 ชนิดหรือมากกว่าต่อวันเป็นเวลาสองสามสัปดาห์ ฟังดูเหมือนอาจเป็นยาที่เยอะ แต่เป็นเรื่องสำคัญมากๆในการรับประทายาทุกชนิดตามแพทย์สั่งและทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากไม่ได้รับยาปฏิชีวนะในทันที เชื้อแบคทีเรียในร่างกายจะเริ่มต่อต้านยา ซึ่งจะยิ่งทำให้ยากมากขึ้นในการรักษา หากพบว่ายาที่รับประทานสร้างการรบกวนให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับทางเลือกอื่นในการรักษาและวิธีรับมือกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น หลังการรักษาราว 1-2 สัปดาห์หลังการรักษาเสร็จ แพทย์จะตรวจลมหายใจหรืออุจจาระอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าการติดเชื้อได้หายสนิทดีแล้ว

การป้องกัน

เราสามารถป้องกันตัวเองจากการได้รับการติดเชื้อเอชไพโลไรด้วยขั้นตอนเดียวกันกับการป้องกันเชื้อโรคชนิดอื่นๆ:
  • ล้างมือให้สะอาดหลังการใช้ห้องน้ำและก่อนการเตรียมหรือรับประทานอาหาร
  • หลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด
  • ไม่รับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุกที่ทั่วถึง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้บริการจากคนที่ไม่ล้างมือ
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด