การปวดหัวข้างซ้ายเป็นเรื่องที่น่ากังวลหรือไม่
การปวดหัวเป็นการปวดที่พบบ่อย คุณสามารถรู้สึกปวดได้จากหัวเพียงข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง การปวดหัวอาจเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ หรืออย่างเฉียบพลัน อาจรู้สึกปวดจี๊ด ๆ หรือปวดหนึบ ๆ บางครั้ง การปวดอาจลามไปถึงคอ ฟัน หรือหลังตาของคุณ ปกติแล้ว อาการปวดหัวจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงและไม่เป็นสิ่งที่ต้องกังวล แต่การปวดหัวข้างเดียวที่เป็นแล้วไม่หายอาจเป็นสัญญาณของอะไรที่ร้ายแรงกว่านั้น อ่านบทความนี้ไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะทราบถึงสาเหตุของการปวดหัวข้างซ้ายและเมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์อะไรที่ทำให้เกิดการปวดหัวข้างซ้าย
การปวดหัวซีกซ้าย หรือปวดขมับซ้ายสามารถเกิดได้จากปัจจัยในด้านการใช้ชีวิต เช่น การอดอาหาร หรือการใช้ยาต่าง ๆ มากเกินไปปัจจัยทางด้านการใช้ชีวิต
ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้:- แอลกอฮอล์: เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อื่น ๆ ที่มีเอททานอล (สารเคมีที่กระตุ้นอาการปวดหัวโดยการทำให้เส้นเลือดขยายขึ้น)
- การอดอาหาร: สมองของคุณต้องการน้ำตาล(กลูโคส) จากอาหารเพื่อที่จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อคุณไม่กินอาหาร น้ำตาลในเลือดก็จะลดต่ำลง ซึ่งเรียกว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และการปวดหัวข้างซ้ายข้างเดียวก็เป็นอาการหนึ่งของภาวะนี้
- ความเครียด: เมื่อคุณมีความเครียด ร่างกายจะหลั่งสายเคมี “สู้หรือหนี” สารเคมีนี้ทำให้กล้ามเนื้อตึงขึ้น และสามารถเปลี่ยนการไลหเวียนของเลือดได้ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ทำให้เกิดอาการปวดหัวข้างซ้าย
- อาหาร: อาหารบางอย่างทำให้เกิดการปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีสารกันบูด อาหารทั่วไปที่กระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้เช่น ชีสที่ผ่านการบ่ม ไวน์แดง ถั่วต่าง ๆ และเนื้อแปรรูปเช่น อาหารเนื้อตัดเย็น ไส้กรอก และเบคอน
- การนอนไม่พอ: การนอนไม่หลับทำให้เกิดการปวดหัว เมื่อคุณมีอาการปวดหัว ความเจ้บปวดจะทำให้การนอนหลับนั้นยากขึ้นไปอีก ผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับเช่น ภาวะการหยุดหายใจระหว่างหลับจากส่งอุดกั้น มีโอกาสที่จะมีอาการปปวดหัวมากกว่า เพราะการนอนถูกรบกวน
การติดเชื้อและการแพ้ต่าง ๆ
การปวดหัวมักเป็นอาการหนึ่งของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ไข้และโพรงจมูกที่ถูกอุดตันทำให้เกิดอาการปวดหัว การแพ้ต่าง ๆ กระตุ้นให้เกิดการปวดหัวจากการถูกอุดกั้นของโพรงจมูก ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดและความดันที่หน้าผาก และกระดูกแก้ม การติดเชื้อที่รุนแรง เช่น โรคไข้สมองอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบทำให้เกิดการปวดหัวที่รุนแรงกว่ามาก ความเจ็บป่วยเหล่านี้ยังทำให้เกิดการชัก มีไข้สูง และคอแข็งการใช้ยามากเกินไป
ยาที่ใช้รักษาการปวดหัวอาจทำให้เกิดการปวดหัวมากขึ้นหากคุณใช้มันมากกว่า 2 หรือ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ อาการปวดหัวนี้เป็นอาการปวดหัวจากการใช้ยามากเกินไป หรือโรคปวดหัวจากเหตุใช้ยาเกินจำเป็น มันจะเกิดขึ้นในทุก ๆ วัน อาการปวดจะเริ่มขึ้นเมื่อคุณตื่นนอนในตอนเช้า ยาที่ทำให้เกิดการปวดหัวจากการใช้ยามากเกินจำเป็น- แอสไพริน
- อะเซตามีโนเฟน หรือพาราเซตามอล (Tylenol)
- ไอบูโปรเฟน (Advil)
- แนฟรอกซิน (Naprosyn)
- แอสไพริน อะเซตามีโนเฟน และการผสมของคาเฟอีน (Excedrin)
- ทริปแทน เช่น ซูมาทริปแทน (Imitrex) และ โซลมาทริปแทน (Zomig)
- กลุ่มยา ergotamine derivatives เช่น Cafergot
- ยาแก้ปวด เช่น oxycodone (Oxycontin) tramadol (Ultram) และ hydrocodone (Vicodin)
สาเหตุทางประสาท
บางครั้งปัญหาทางระบบประสาทสามารถเป็นสาเหตุของการปวดหัวได้- การปวดที่มีสาเหตุมาจากเส้นประสาทต้นคอ: การปวดชนิดนี้เป็นการปวดที่มาจากไขสันหลัง คอส่วนบน ไปจนถึงฐานของกะโหลกศีรษะ การระคายเคืองของเส้นประสาทเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดอาการปวดที่รุนแรง เหมือนเข็มแทงที่ท้ายทอยหรือฐานของกะโหลกศีรษะ การปวดสามารถเกิดขึ้นได้เพียงไม่กี่วินาทีจนถึงหลายนาที
- ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ: โรคนี้เกิดจากการอักเสบของหลอดเลือด รวมไปถึงหลอดเลือดแดงที่ขมับ อาการคือการปวดหัวและการปวดกราม ไหล่ และสะโพก และการมองเห็นที่เปลี่ยนไป
- โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า: เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทใบหน้า ทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรงที่เหมือนช็อคที่ใบหน้า
สาเหตุอื่น ๆ
การปวดหัวข้างซ้ายอาจเป็นผลมาจาก- การใส่หมวกหรืออะไรบนหัวที่แน่น: การสวมหมวกกันน็อคหรือหมวกป้องกันอื่น ๆ ที่แน่นเกินไปอาจทำให้เกิดความดันที่หัวข้างใดข้างหนึ่งหรือหัวทั้งสองข้าง และทำให้เกิดความเจ็บปวด
- การถูกกระทบอย่างรุนแรง: การถูกกระแทกอย่างรุนแรงสามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่สมองได้ การถูกระทบอย่างรุนแรงทำให้เกิดการปวดหัว สับสน คลื่นไส้ และอาเจียนได้
- โรคต้อหิน: ความดันในตาที่เพิ่มขึ้นสามารถทำให้ตาบอดได้ ซึ่งเกิดขึ้นกับอาการปวดตาและการมองเห็นที่ไม่ชัด และสามารถมีอาการปวดหัวที่รุนแรงร่วมด้วยได้
- ความดันโลหิตสูง: ปกติแล้ว ความดันโลหิตสูงจะไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ แต่ในผู้ป่วยบางคน การปวดหัวอาจเป็นสัญญาณ
- โรคหลอดเลือดสมองแตก: ลิ่มเลือดสามารถไปอุดตันหลอดเลือดสู่สมอง ทำให้เลือดหยุดไหล และแตกได้ เลือดออกในสมองก็สามารถทำให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ การปวดหัวเฉียบพลัน และรุนแรงเป็นสัญญาณหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมองแตก
- เนื้องอกในสมอง: เนื้องอกสามารถทำให้เกิดการปวดหัวที่รุนแรง เฉียบพลัน ซึ่งเกิดขึ้นกับเหตุการณ์อื่น ๆ เช่น การสูญเสียการมองเห็น มีปัญหาการพูด สับสน มีปัญหากับการเดิน และชัก
ประเภทของการปวดหัว
การปวดหัวนั้นมีหลายประเภท ตั้งแต่การปวดหัวแบบไมเกรนไปจนถึงการปวดหัวจากความเครียด การรู้ว่าคุณมีอาการปวดหัวแบบไหนจะช่วยให้รักษาได้อย่างถูกต้อง เหล่านี้เป็นการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุดความเครียด
การปวดหัวจากความเครียดเป็นการปวดหัวที่พบมากที่สุด มันส่งผลกระทบต่อ 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใหญ่ รู้สึกเหมือนกับ: มียางรัดอยู่แน่น ๆ รอบ ๆ หัว บีบใบหน้า และกระโหลกศีรษะของคุณ คุณจะรู้สึกถึงแรงกดจากทั้งสองข้าง และข้างหลังศีรษะ ไหล่ และคอของคุณก็อาจจะเจ็บด้วยไมเกรน
ไมเกรนเป็นการเจ็บป่วยอันดับ 3 ที่พบมากที่สุดในโลก รู้สึกเหมือน: เป็นอาการปวดรุนแรง ปวดแบบตุบ ๆ ปกติแล้วจะเป็นข้างเดียว อาการปวดมักจะเกิดขึ้นกับอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ไวต่อเสียงและแสง และมึน อาการมึนจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น คำพูด และการสัมผัส ซึ่งจะเกิดขึ้นก่อนที่ไมเกรนจะเริ่มขึ้น ปวดหัวข้างซ้าย กระบอกตา หรือปวดสลับไปมาระหว่างสองข้าง อาการต่าง ๆ ได้แก่:- มีแสงวาบ เป็นรูปร่าง จุด หรือเส้นขึ้นในการมองเห็นของคุณ
- มีอาการชาที่ใบหน้าหรือข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
- สูญเสียการมองเห็น
- พูดไม่รู้เรื่อง
- ได้ยินเสียง หรือเพลงที่ไม่ได้เปิด
คลัสเตอร์
การปวดหัวแบบคลัสเตอร์เป็นการปวดหัวที่พบได้น้อยแต่เป็นการปวดหัวที่รุนแรง การปวดหัวจะเกิดขึ้นเป็นรอบ ๆ ในระหว่างวัน หรือสัปดาห์ หลังจากที่มีอาการปวดหัวขึ้นแล้วก็จะมีช่วงที่ไม่ปวดหัว ซึ่งอาจเป็นเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี รู้สึกเหมือน: การปวดหัวรุนแรงข้างเดียวตาข้างที่ปวดอาจแดงและมีน้ำตา อาการอื่น ๆ เช่น มีน้ำมูกไหล เหงื่อออก และหน้าแดง ปวดหัวข้างเดียวบ่อย ๆการปวดหัวเรื้อรัง
การปวดหัวเรื้อรังสามารถเป็นการปวดหัวชนิดใดก็ได้ ซึ่งรวมไปถึง การปวดหัวไมเกรน หรือการปวดหัวจากความเครียด มันถูกเรียกว่าการปวดแบบเรื้อรัง เพราะมันเกิดขึ้นอย่างน้อย 15 วันต่อเดือนเป็นเวลา 6 เดือน หรือมากกว่านั้น รู้สึกเหมือน: การปวดตุบๆ อย่างรุนแรงข้างใดข้างนึงของหัว หรือรู้สึกเหมือนถูกบีบ ขึ้นอยุ่กับว่าเป็นการปวดหัวชนิดใดควรพบแพทย์เมื่อใด
ปกติแล้ว อาการปวดหัวเป็นสิ่งที่ไม่รุนแรง และเราสามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง แต่บางครั้ง มันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่รุนแรง ควรพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้:- เป็นการปวดหัวที่รู้สึกว่าปวดที่สุดในชีวิต
- มีรูปแบบการปวดหัวที่เปลี่ยนไป
- การปวดหัวทำให้คุณตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน
- อาการปวดหัวเริ่มต้นขึ้นหลังจากเกิดการกระทบที่หัว
- สับสน
- มีไข้
- คอแข็ง
- การสูญเสียการมองเห็น
- เห็นภาพซ้อน
- ปวดมากขึ้นเมื่อขยับร่างกายหรือไอ
- ชา อ่อนแรง
- ตาแดง ปวด
- หมดสติ
แพทย์จะวินิจฉัยการปวดหัวของคุณอย่างไร
ทำนัดเพื่อพบแพทย์เมื่อคุณเริ่มปวดหัวหรืออาการปวดหัวของคุณรุนแรงขึ้น แพทย์ของคุณอาจให้คุณไปพบกับแพทย์ระบบประสาท แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย และถามถึงประวัติและอาการต่าง ๆ ที่คุณมี พวกเขาอาจจะซักถามสิิิิิ่งเหล่านี้:- เริ่มปวดหัวเมื่อไร
- รู้สึกปวดยังไง
- มีอาการอะไรบ้าง
- ปวดหัวบ่อยแค่ไหน
- อะไรเป็นสิ่งกระตุ้น
- อะไรที่ทำให้อาการปวดหัวดีขึ้นและอะไรที่ทำให้มันแย่ลง
- ครอบครัวมีประวัติของผู้ที่ปวดหัวหรือไม่
- ซีทีสแกน เป็นการเอ็กซเรย์ที่แสดงภาพตัดของสมอง มันสามารถใช้วินิจฉัยเลือดที่ออกในสมองหรือความผิดปกติอื่น ๆ ได้
- เอ็มอาร์ไอ เป็นการใช้พลังแม่เหล็กและคลื่นวิทยุถ่ายภาพรายละเอียดในสมองและเส้นเลือดได้ มันให้รายละเอียดมากกว่าซีทีสแกน มันสามารถช่วยวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง เลือดออกในสมอง เนื้องอก โครงสร้างที่มีปัญหา และการติดเชื้อได้
เราจะสามารถบรรเทาปวดได้อย่างไร
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ที่บ้านเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างรวดเร็ว:- ประคบอุ่นหรือเย็นที่หัวหรือที่คอ
- แช่น้ำอุ่น ฝึกหายใจลึก ๆ หรือฟังเพลงที่ทำให้ผ่อนคลาย
- งีบหลับ
- กินอะไรสักอย่างหากน้ำตาลในเลือดต่ำ
- รับประทานยาที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น แอสไพริน ไอบูโปรเฟน (Advil) หรืออะเซตามิโนเฟน (Tylenol)
นี่คือที่มาในบทความของเรา
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น