โรคไข้รากสาดใหญ่คืออะไร
ไข้ไทฟัส หรือ ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อหนึ่งหรือในหลายตัวของแบคทีเรียตระกูลริกเค๊ทท์เซีย เมื่อตัวหมัด ไร เหาหรือเห็บเป็นพาหะนำโรคเมื่อผู้ป่วยโดนสัตว์ดังกล่าวกัด หมัด ไร เห็บและเหาจัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่รู้จักในชื่อสัตว์ขาปล้อง (อาร์โทรพอด) สัตว์ตระกูลอาร์โทรพอดเป็นพาหะนำเชื้อแบคที่เรียตระกูลริกเค๊ทท์เซียที่เมื่อกัดใครแล้วพวกมันจะส่งเชื้อแบคทีเรียต่อเป็นสาเหตุของโรคไข้รากสาดใหญ่
เมื่อมีการเกาตรงบริเวณที่ถูกกัดจะทำให้ผิวหนังเปิดและนั้นเท่ากับยอมให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น และทันทีที่เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ เชื้อแบคทีเรียจะก็แพร่พันธ์และเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ชนิดของโรคไข้รากสาดใหญ่มี 3 ชนิดคือ:
-
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีเหาเป็นพาหะ
-
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีหมัดหนูเป็นพาหะ
-
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีตัวไรเป็นพาหะ หรือ สครับไทฟัส
ชนิดของไข้รากสาดใหญ่ขึ้นอยู่กับคือการติดเชื้อจากชนิดของสัตว์ที่มากัด อาร์โทรพอดเป็นพาหะของโรคไข้รากสาดใหญ่ที่มีสายพันธ์เฉพาะตัวของตัวมันเอง
โรคไข้รากสาดใหญ่มักเกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือแถบประเทศที่ยากจน สุขอนามัยแย่และมีคนอยู่รวมกันมากๆ
หากโรคไข้รากสาดใหญ่ไม่ได้รับการรักษา สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ การไปพบแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีอาการของโรคไข้รากสาดใหญ่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง
อาการของโรคไข้รากสาดใหญ่
โรคไข้รากสาดใหญ่ทุกชนิดมีอาการแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย อาการที่มีเหมือนกันจากโรคไข้รากสาดใหญ่ทั้งสามชนิดคือ:
อาการของไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาดมักเกิดอาการแบบเฉียบพลัน คือ:
-
ปวดศีรษะรุนแรง
-
มีไข้สูง (เกินกว่า 102.2°F)
-
มีผื่นขึ้นโดยเริ่มจากบริเวณแผ่นหลังหรือหน้าอก และแพร่กระจายไป
-
เกิดภาวะสับสน
-
ความรู้สึกตัวเปลี่ยนไป เกิดภาวะสับสน
-
ระดับความต่ำโลหิตต่ำ (Low blood pressure)
-
allergy-eyes-0488/”>ตาไม่สู้แสงจ้า
-
ปวดกล้ามเนื้อรุนแรง
อาการของโรคไข้รากสาดใหญ่ชนิดโรคประจำถิ่นอาจใช้เวลานาน 10-12 วันและมีอาการคล้ายคลึงกันกับอาการแบบโรคระบาดแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า คือ:
อาการของไข้รากสาดใหญ่ชนิดมีตัวไรเป็นพาหะ คือ:
- ต่อมน้ำเหลืองบวม
- อ่อนเพลีย เมื่อยล้า
- มีแผล แดงหรือรู้สึกเจ็บผิวหนังบริเวณที่ถูกกัด
- ไอ
- มีผื่นขึ้น
ระยะการฟักตัวของโรคคือ 5-14 วันโดยเฉลี่ย ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องหลังจากโดนกัดไปแล้ว 5-14วันอาการจึงจะปรากฎให้เห็น นักเดินทางที่ได้รับเชื้อไข้รากสาดใหญ่อาจไม่มีอาการของโรคในระหว่างการเดินทางจนกว่าพวกเขาจะเดินทางกลับถึงบ้าน หากคุณพบว่ามีอาการข้างต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่าคุณเพิ่งมีการเดินทางไปยังที่ต่างๆ
สาเหตุของโรคไข้รากสาดใหญ่
โรคไข้รากสาดใหญ่จะไม่สามารถส่งต่อจากคนสู่คนได้เหมือนไข้หวัดหรือโรคหวัด โรคไข้รากสาดใหญ่มีทั้งหมด 3 ชนิด และแต่ละชนิดมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่แตกต่างกัน และมีการติดต่อผ่านอาร์โทรพอดชนิดที่แตกต่างกัน
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีเหาเป็นพาหะ
ไข้รากสาดใหญ่ชนิดนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อริคเคทเชีย โปรวาเซกิ เชื้อชนิดนี้มีเหาเป็นพาหะ ซึ่งอาจรวมไปถึงเห็บด้วย สามารถพบเจอได้ทั่วโลก รวมถึงในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่มักพบในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นและมีสุขอนามัยที่ไม่ดี เราเรียกโรคนี้ว่า โรคติดเชื้อเหา
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีหมัดหนูเป็นพาหะ
ไข้รากสาดใหญ่ชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ไข้หมัดหนู เกิดจาก เชื้อริกเก็ตเซีย ไทฟี และมีหมัดหนู หรือ หมัดแมวเป็นพาหะ ไข้รากสาดใหญ่ชนิดหมัดหนูสามารถพบได้ทั่วโลก
ไข้รากสาดใหญ่ ชนิดมีตัวไรเป็นพาหะ หรือสครับไทฟัส
ไข้รากสาดใหญ่ชนิดนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อ โอเรียนเทีย ซูซูกามูชิ มีตัวไรเป็นพาหะ ซึ่งเป็นตัวอ่อนของตัวไรที่เรียกว่า เห็บลม (chiggers) โรคไข้รากสาดใหญ่ชนิดนี้พบได้ทั่วไปในประเทศแถบเอเซีย ออสเตรเลีย ปาปัวนิกินี และหมู่เกาะแปซิฟิก เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าโรคซูซูกามูชิ
เหา หมัด เห็บ หรือไรจะกลายเป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียก็ต่อเมื่อพวกมันไปกินเลือดของคนที่ติดเชื้อ (โรคไข้รากสาดใหญ่) หรือสัตว์ที่ติดเชื้อ (จากไข้รากสาดใหญ่ทั้ง 3 ชนิดข้างต้น)
หากคุณได้มีการสัมผัสใกล้ชิดกับอาร์โทรพอดที่เป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ (ยกตัวอย่างเช่น การนอนบนผ้าปูที่นอนที่เต็มไปด้วยตัวไร) คุณอาจติดเชื้อได้โดยสองวิธี เชื้อแบคทีเรียอาจถูกส่งต่อผ่านผิวหนังคุณโดยการถูกพวกมันกัด หรืออาจถูกส่งต่อผ่านอุจจาระของสัตว์ดังกล่าว หากคุณเกาที่ผิวหนังในบริเวณที่มีตัวเหาหรือไรกำลังกินเลือดคุณอยู่ เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในอุจจาระของพวกมันก็จะสามารถเข้าสู่กระแสเลือดผ่านรอยแผลเล็กๆบนผิวหนังของคุณเข้าไปได้
การวินิจฉัยโรคไข้รากสาดใหญ่
หากคุณสงสัยว่าคุณเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ แพทย์อาจซักถามอาการและประวัติโรคประจำตัวของคุณ เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค คุณควรแจ้งสิ่งต่อไปนี้ให้แพทย์ได้ทราบถ้าคุณ:
-
ถ้าคุณอยู่ในแหล่งที่มีผู้คนแออัด
-
มีไข้รากสาดใหญ่ระบาดในชุมชนที่คุณอยู่
-
มีการเดินทางไปต่างประเทศเมื่อเร็วๆนี้
การวินิจฉัยมักจะเกิดความยุ่งยากเพราะโรคมักมีอาการเหมือนโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น:
-
โรคมาลาเรีย เป็นโรคติดเชื้อที่ติดมาจากยุง
-
โรคบรูเซลโลซิส เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบรูเซลล่า
การวินิจฉัยโรคไข้รากสาดใหญ่อาจตรวจด้วยวิธีดังต่อไปนี้:
-
การตัดชิ้นเนื้อจากผิวหนังส่งตรวจ: โดยนำตัวอย่างของผิวหนังจากบริเวณที่ขึ้นผื่นไปตรวจทดสอบในห้องปฏิบัติการ
-
การตรวจ Western blot: คือการตรวจเพื่อระบุการมีอยู่ของโรคไข้รากสาดใหญ่
-
การทดสอบอิมมูโนฟลูออเรสเซนต์: คือการย้อมด้วยสีย้อมฟลูออเรสเซนต์เพื่อตรวจจับแอนติเจนของโรคไข้รากสาดใหญ่จากตัวอย่างของเซรั่มที่ถูกนำออกมาจากกระแสเลือด
-
การตรวจเลือดแบบอื่นๆ:ผลที่ได้ทำให้สามารถระบุการมีอยู่ของภาวะติดเชื้อได้
การรักษาโรคไข้รากสาดใหญ่
โรคไข้รากสาดใหญ่มักใช้ยาปฏิชีวนะมาช่วยในการรักษาเช่น:
-
ด็อกซีไซคลิน (ชื่อทางการค้า Doryx, Vibramycin): มักใช้ตัวยานี้ในการรักษา
-
คลอแรมเฟนิคอล: ยาสำหรับหญิงที่ไม่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
-
ไซโปรฟลอกซาซิน (ชื่อทางการค้าCipro): ใช้สำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถทานยาด็อกซีไซคลิน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้รากสาดใหญ่
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้รากสาดคือ:
-
ไวรัสตับอักเสบ เป็นการอักเสบที่บริเวณตับ
-
เลือดออกในทางเดินอาหาร คือมีเลือดออกภายในลำไส้
-
ภาวะช็อก ที่เกิดจากปริมาณเลือดลดต่ำลง
การเฝ้าติดตามโรคไข้รากสาดใหญ่
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจะได้ผลดีมีประสิทธิภาพเมื่อมีการรักษาตั้งแต่ในระยะแรกของโรค และอาการกำเริบจะไม่เกิดขึ้นหากผู้ป่วยรับประทานยาปฏิชีวนะครบคอร์ส การรักษาที่ล่าช้าและการวินิจฉัยผิดพลาดอาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้รากสาดใหญ่มีอาการที่รุนแรงมากขึ้น
โรคไข้เลือดออกชนิดระบาดมักพบเจอได้ในพื้นที่ยากจน ขาดสุขอนามัยที่ดี และมีความแออัด ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตคือผู้ที่ไม่สามารถทำการรักษาได้อย่างรวดเร็ว อัตราการเสียชีวิตโดยรวมสำหรับโรคไข้รากสาดใหญ่ที่ไม่ได้รับการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและปัจจัยอื่น เช่นอายุและสุขภาพโดยรวม
ผู้สูงอายุและผู้ที่ขาดสารอาหารพบว่ามีอัตราการการเสียชีวิตที่สูงที่สุด เด็กจะสามารถหายจากโรคไข้รากสาดใหญ่ได้ คนที่มีโรคประจำตัว (เช่นโรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง หรือไตวายเรื้อรัง) มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียชีวิตได้ การเสียชีวิตจากโรคไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาดที่ไม่ได้รับการรักษาพบได้ประมาณ 10-60 เปอร์เซนต์ และการเสียชีวิตจากชนิดมีตัวไรเป็นพาหะแล้วไม่รักษาพบค่าเฉลี่ยประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
โรคไข้รากสาดใหญ่ชนิดมีหมัดหนูเป็นพาหะมักไม่ค่อยพบว่ามีการเสียชีวิตแม้จะไม่ได้รับการรักษาก็ตาม อัตราการเสียชีวิตมีไม่ถึง 4 เปอร์เซนต์ ตามข้อมูลของสมาคมโรคติดเชื้อ
การป้องกันโรคไข้รากสาดใหญ่
วัคซีนป้องกันโรคไข้รากสาดใหญ่ระบาดถูกผลิตขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เมื่อพอจำนวนผู้ป่วยลดน้อยลงการผลิตวัคซีนก็หยุดลง วิธีที่ง่ายที่สุดในการป้องกันโรคไข้รากสาดใหญ่คือการพยายามหลีกเลี่ยงศัตรูพืชที่เป็นตัวแพร่เชื้อ
การป้องกันที่สามารถทำได้เช่น:
-
รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้เหมาะสม (เพื่อช่วยเป็นเกราะป้องกันเหาที่เป็นพาหะของโรค)
-
ควบคุมจำนวนประชากรหนู (หนูคือสัตว์ที่เป็นพาหะจำพวกอาร์โทรพอด)
-
หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่เพิ่งเกิดการติดเชื้อโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่ขาดสุขอนามัยที่ดีพอ
-
การป้องกันโรคติดเชื้อด้วยสารเคมี เช่น ด็อกซีไซคลิน (ที่นำมาใช้เพื่อป้องกันเฉพาะในที่ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น เช่น การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่พื้นที่ที่มีความยากจนมากและไม่มีสุขาภิบาลหรือมีแต่น้อยมาก
ด้วยการใช้ยาฆ่าแมลง ฆ่าเห็บ ตัวไร การตรวจหาเห็บเป็นประจำ และสวมเสื้อผ้าป้องกันหากต้องเดินทางไปใกล้พื้นที่ที่เคยมีโรคไข้รากสาดใหญ่ระบาด
โภชนาการที่แนะนำในผู้ป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่
ไข้รากสาดใหญ่เป็นกลุ่มของโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Rickettsia หลากหลายสายพันธุ์ โดยทั่วไปจะแพร่เชื้อสู่มนุษย์ผ่านการกัดของหมัด เหา หรือเห็บที่ติดเชื้อ แม้ว่าโภชนาการที่เหมาะสมจะจำเป็นต่อสุขภาพโดยรวมและสามารถช่วยสนับสนุนความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับการติดเชื้อได้ แต่ยังไม่มีวิธีรักษาโรคไข้รากสาดใหญ่โดยเฉพาะ การรักษาเบื้องต้นสำหรับไข้รากสาดใหญ่นั้นเกี่ยวข้องกับยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งจ่าย ในระหว่างระยะเฉียบพลันของการติดเชื้อไข้รากสาดใหญ่ บุคคลอาจมีอาการต่างๆ เช่น มีไข้สูง อ่อนแรง และมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร สิ่งสำคัญคือต้องรักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นและรักษาโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูของร่างกาย ต่อไปนี้เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปด้านอาหารที่ควรพิจารณา:- รักษาร่างกายให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ: ไข้รากสาดใหญ่อาจทำให้เกิดไข้สูงและเหงื่อออก ส่งผลให้สูญเสียของเหลว จำเป็นต้องดื่มของเหลวมากๆ เช่น น้ำเปล่า ซุปใส และสารละลายทดแทนการให้น้ำในช่องปาก เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- มื้อเล็กๆ บ่อยๆ: หากคุณมีอาการทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย ให้ลองรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ และบ่อยขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักเกินไป
- อาหารที่สมดุล: ตั้งเป้ารับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งประกอบด้วยอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย ซึ่งอาจรวมถึง:
- โปรตีนไร้ไขมัน เช่น ไก่ ปลา และเต้าหู้เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเสริมภูมิคุ้มกัน
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ข้าว และข้าวโอ๊ตเพื่อเป็นพลังงาน
- ผักและผลไม้สำหรับวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น
- ไขมันเพื่อสุขภาพจากแหล่งต่างๆ เช่น อะโวคาโด ถั่ว และน้ำมันมะกอก
- หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดหรือระคายเคือง: หากคุณมีอาการทางเดินอาหาร เป็นความคิดที่ดีที่จะหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด มันเยิ้ม หรือมีกรดสูงที่อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- รักษาสุขอนามัยที่ดี: การล้างมือและสุขอนามัยในการจัดการอาหารอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติมหรือการแพร่กระจายของโรคไข้รากสาดใหญ่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณบริโภคอาหารและน้ำที่ปลอดภัยและสะอาด
- ปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับยาและข้อจำกัดด้านอาหารเสมอ พวกเขาจะให้คำแนะนำเฉพาะกับอาการของคุณ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.webmd.com/a-to-z-guides/what-is-typhus
-
https://www.cdc.gov/typhus/epidemic/index.html
-
https://www.nhs.uk/conditions/typhus/
-
https://www.medicalnewstoday.com/articles/327505
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team