โรคไข้กระต่าย Tularemia คืออะไร
โรคทูลารีเนียหรือไข้กระต่ายคือ โรคติดเชื้อที่เป็นการติดเชื้อเฉพาะชนิดที่มาจากสัตว์เช่น:- สัตว์ฟันแทะพวกหนูในป่า
- กระรอก
- นก
- กระต่าย
การแพร่เชื้อสู่มนุษย์
มนุษย์สามารถติดเชื้อโรคทูลารีเนียได้ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่มีการติดเชื้อหรือจากตัวเห็บ ยุงหรือเหลือบ อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการติดเชื้อจากเห็บได้ที่นี่ ความแตกต่างของโรคทูลารีเนียขึ้นอยู่ตำแหน่งที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย รูปแบบส่วนใหญ่ของโรคมักมีสาเหตุมาจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียทางผิวหนัง อาการรุนแรงของโรคส่วนมากเกิดจากการสูดดมเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย โรคทูลารีเนียสามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ การได้รับการรักษาในระยะเริ่มแรกสามารถทำให้การฟื้นตัวได้ดีกว่า แต่อย่างไรก็ตามในรายที่มีอาการรุนแรงที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตก็ยังสามารถรักษาได้ โรคทูลารีเนียพบได้ยาก ที่ได้รับรายงานในแต่ละปีของประเทศสหรัฐอเมริกามีเพียง100 ถึง 200 รายต่อปีเท่านั้นรูปแบบและอาการโรคทูลารีเนีย
อาการของโรคทูลารีเนียมีหลากหลายอาการ ตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีเล็กน้อยไปจนถึงขั้นเสียชีวิต รูปแบบอาการจะปรากฏให้เห็นภายใน 3 ถึง 5 วันหลังติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ในบางรายอาจใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์อาการจึงปรากฏให้เห็น อาการที่หลากหลายขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย ต่อไปนี้คือรูปแบบของโรคและอาการที่มักเกิดขึ้นของโรคทูลารีเนียไข้กระต่ายชนิดมีแผลที่ผิวหนังและต่อมน้ำเหลืองบวม
อาการไข้กระต่ายชนิดมีแผลที่ผิวหนังและต่อมน้ำเหลืองบวมหรือมีการติดเชื้อผ่านผิวหนัง อาการคือ:- มีแผลที่ผิวหนังตรงจุดที่ได้รับการสัมผัสจากสัตว์ที่ติดเชื้อหรือบริเวณที่ถูกกัด
- ต่อมน้ำเหลืองบวมใกล้กับบริเวณผิวที่เป็นแผล (ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่รักแร้หรือขาหนีบ)
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- มีไข้
- หนาวสั่น
- อ่อนล้า
ไข้กระต่ายชนิดต่อมน้ำเหลืองบวม
อาการของไข้กระต่ายชนิดต่อมน้ำเหลืองบวม หรือการติดเชื้อผ่านผิวหนังมีความคล้ายคลึงกับไข้กระต่ายชนิดมีแผลที่ผิวหนังและต่อมน้ำเหลืองบวมแต่ไม่มีแผลปรากฏให้เห็นไข้กระต่ายชนิดปอดบวม
ไข้กระต่ายชนิดปอดบวมคือชนิดที่มีความรุนแรงที่สุด เป็นการแพร่เชื้อผ่านการสูดดม อาการคือ:- ไอแห้งๆ
- หายใจลำบาก
- มีไข้สูง
- เจ็บหน้าอก
ไข้กระต่ายชนิดตาอักเสบและต่อมน้ำเหลืองบวม
อาการของไข้กระต่ายชนิดตาอักเสบและต่อมน้ำเหลืองบวมหรือการติดเชื้อที่ดวงตาคือ:- ระคายเคืองตา
- เจ็บตา
- ตาบวม
- ตาแดงหรือตามีขี้ตา
- เจ็บบริเวณที่ด้านในเปลือกตา
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณหลังหูบวม
ไข้กระต่ายชนิดคอหอยส่วนบนอักเสบ
อาการของไข้กระต่ายชนิดคอหอยส่วนบนอักเสบหรือการติดเชื้อแบคทีเรียผ่านการกลืนกิน คือ:- เจ็บคอ
- มีแผลในปาก
- ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม
- ต่อมทอนซิลบวมหรือต่อมทอนซิลอักเสบ
- อาเจียน
- ท้องเสีย
ไข้กระต่ายชนิดไข้ไทฟอยด์
อาการไข้กระต่ายชนิดไข้ไทฟอยด์พบได้ยาก อาการคือ:- มีไข้สูงมาก
- อ่อนล้าอย่างมาก
- ท้องเสีย
- อาเจียน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้กระต่าย
ความรุนแรงและโรคไข้กระต่ายในรายที่ไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังต่อไปนี้:- ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
- เยื่อบุรอบๆบริเวณสมองและไขสันหลังบวม ที่เรียกว่าเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เสียชีวิต
สาเหตุของโรคไข้กระต่าย
เชื้อแบคทีเรียฟรานซิเซลล่า ทูลารีซิส เป็นสาเหตุของโรคไข้กระต่าย สัตว์ที่สามารถเป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวคือ:- กระต่ายหรือเห็บ
- เหลือบ
- กระต่ายป่า
- กระต่าย
- หนู
- สัตว์เลี้ยงนอกบ้าน
- ปอด
- ไขสันหลัง
- สมอง
- หัวใจ
- การสัมผัสทางผิวหนังเป็นสาเหตุของโรคไข้กระต่ายชนิดต่อมน้ำเหลืองบวมหรือชนิดมีแผลที่ผิวหนังและต่อมน้ำเหลืองบวม
- การสูดดมละอองฝอยของเชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคไข้กระต่ายชนิดปอดบวม
- การสัมผัสผ่านดวงตาเป็นสาเหตุของไข้กระต่ายชนิดตาอักเสบและต่อมน้ำเหลืองบวม
- การกลืนเข้าร่างกายเป็นสาเหตุของไข้กระต่ายชนิดคอหอยส่วนบนอักเสบ
- การติดเชื้อแบบแพร่กระจาย (ชนิดหนึ่งที่ส่งผลกระทบทั่วร่างกาย) เป็นสาเหตุของไข้กระต่ายชนิดไข้ไทฟอยด์
ปัจจัยเสี่ยงการเกิดไข้กระต่าย
สัตว์ที่เป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุของโรคไข้กระต่าย คนที่สัมผัสกับสัตว์บ่อยๆจึงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น คนที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นคือ:- คนที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับสัตว์ เช่นสัตวแพทย์ คนดูแลสวนสัตว์และเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน
- คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่า
- คนที่ทำงานกับซากสัตว์ เช่นนักล่า คนทำสตัฟฟ์สัตว์และพ่อค้าเนื้อ
- คนที่ทำงานในสวนหรือจัดสวน
การวินิจฉัยโรคไข้กระต่าย
การวินิจฉัยโรคไข้กระต่ายไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมักเกิดขึ้นเหมือนกับโรคอื่นๆ วิธีที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายมีความหลากหลายและซับซ้อน แพทย์จะต้องซักถามประวัติส่วนบุคคลและประวัติโรคประจำตัวเพื่อนำมาช่วยในการวินิจฉัยโรค แพทย์อาจสงสัยถึงโรคไข้กระต่ายหากเพิ่งมีการเดินทางมาไม่นาน แมลงสัตว์กัดต่อยหรือการสัมผัสกับสัตว์ แพทย์อาจสงสัยว่าเป็นโรคไข้กระต่ายหากก่อนหน้านี้คุณมีโรคที่รุนแรงเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานอยู่ก่อนแล้ว เช่นโรคมะเร็งหรือเอชไอวี แพทย์อาจใช้การตรวจเซโรโลจีเทสต์เพื่อระบุชนิดของโรคไข้กระต่าย การตรวจเป็นการตรวจหาแอนติบอดี้ชนิดเฉพาะเจาะจงในร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค เพราะการตรวจขั้นต้นมักไม่สามารถระบุแอนติบอดี้ได้ แพทย์อาจต้องเก็ยตัวอย่างในห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างนำมาจาก:- ผิวหนัง
- ต่อมน้ำเหลือง
- ภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด (มีของเหลวจากเยื่อหุ้มปอดเข้าไปในช่องอก)
- ของเหลวในไขสันหลัง
การรักษาโรคไข้กระต่าย
การรักษาโรคไข้กระต่ายแต่ละรายจะขึ้นอยูกับรูปแบบและความรุนแรงของโรค การได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะแรกสามารถรักษาทันทีด้วยยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะที่มักนำมาใช้ในการรักษาโรคไข้กระต่ายคือ:- ไซโปรฟลอกซาซิน (ไซโปร)
- ด็อกซีไซคลิน (ด็อกซี)
- เจนตามัยซิน
- สเตรปโตมัยซิน
การป้องกันโรคไข้กระต่าย
การป้องกันรวมไปถึงการระวังเรื่องของความปลอดภัย เชื้อแบคทีเรียจะเจริญเติบโตในสถาวะที่สกปรก การระบาดของโรคเกิดขึ้นในปาร์ตี้ล่าสัตว์เมื่อนักล่าพลาดเรื่องวิธีการทำความสะอาดหรือใช้ของที่มีการปนเปื้อน การทำความสะอาดสัตว์เมื่อออกไปล่าสัตว์ ควรปฏิบัติตามข้อควรระวังดังต่อไปนี้:- อย่าโดนผิวหนังสัตว์ที่มีอาการป่วย
- สวมถุงมือและแว่นตาเมื่อจับตัวสัตว์
- ล้างมืออย่างระมัดระวังหลังจับสัตว์
- ปรุงให้สุกทั่วถึง
- สวมกางเกงขายาวและเสื้อแขนยาวเมื่อเข้าป่าเพท่อช่วยห้องกันแมลงกัด
- พยายามกันสัตว์ให้ห่างจากอาหารและน้ำ
- หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากทะเลสาปหรือบึง
- ปกป้องสัตว์ที่เลี้ยงนอกบ้านยาไล่เห็บและหมัด
- ใช้ยากันแมลง
การเฝ้าระวังสำหรับโรคไข้กระต่าย
การเฝ้าระวังโรคไข้กระต่ายจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและได้รับการรักษารวดเร็วมากแค่ไหน หากคิดว่าเป็นโรคไข้กระต่าย ให้ไปพบแพทย์ทันที การได้รับการวินิจฉัยช้าเป็นสาเหตุทำให้อาการยิ่งแย่ลงหัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น