โรคกลัวรูคือ อะไร
Trypophobia คือ อาการกลัว หรือขยะแขยงรูที่ติด ๆ กันเป็นกระจุก ผู้ที่เป็นโรคนี้มักรู้สึกคลื่นไส้เมื่อเห็นรูที่รวมกันอยู่เยอะ ๆ ตัวอย่างเช่น หัวของดอกบัว หรือสตรอว์เบอร์รี่เป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดความไม่สบายตัวในผู้ที่กลัวรู อาการกลัวนี้ยังไม่ได้รับการับทราบอย่างเป็นทางการ จึงทำให้การศึกษา และทดลองในโรคนี้ยังมีน้อยตัวกระตุ้น
ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการส่วนมาก คือ:- หัวดอกบัว
- รังผึ้ง
- สตรอว์เบอร์รี่
- ปะการัง
- โฟมโลหะ
- ทับทิม
- ฟองต่าง ๆ
- หยดน้ำจากการควบแน่น
- แคนตาลูป
- ตาที่รวมกันเป็นกลุ่ม ๆ
อาการของโรคกลัวรู
อาการจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ที่เป็นโรคนี้เห็นวัตถุที่มีกลุ่มของรู หรือรูปร่างรูที่รวมกันเป็นกลุ่ม เมื่อเห็นกลุ่มของรู คนที่เป็นโรคนี้จะรู้สึกกลัว หรือรังเกลียด อาการมักเป็นดังนี้:- ขนลุก
- รู้สึกขยะแขยง
- รู้สึกไม่สบายตัว
- การมองเห็นไม่ชัดเจน เช่น ปวดตา เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือเห็นภาพหลอน
- ขนหัวลุก
- ตื่นตระหนก
- เหงื่อออก
- คลื่นไส้
- ตัวสั่น
ปัจจัยเสี่ยง
เรายังไม่ทราบถึงปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากโรคกลัวรู การศึกษาหนึ่งพบความเชื่อมโยงของโรคกลัวรู กับโรควิตกกังวลทั่วไป และโรคซึมเศร้า จากการค้นคว้า ผู้ที่กลัวรูมีเเนวโน้มที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าด้วย อีกการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโรควิตกกังวลกับโรคกลัวรูการรักษา
การรักษาโรคกลัวรูสามารถทำได้หลายวิธี วิธีหนึ่งที่ได้ผลมากคือ การบำบัดด้วยการเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว (Exposure Therapy) อีกการรักษาหนึ่งคือ การรักษาด้วยพฤติกรรมบำบัด เป็นการรักษาที่ช่วยให้เราจัดการกับความวิตกกังวล และไม่ให้เราคิดมากเกินไป การรักษาอื่น ๆ ได้แก่:- การปรึกษากับจิตแพทย์
- การใช้ยา เช่น Beta-Blockers และ ยากล่อมประสาทที่ช่วยลดความวิตกกังวล และอาการตื่นตระหนก
- เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ และการทำโยคะ
- กิจกกรมทางร่างกายต่าง ๆ และการออกกำลังกายเพื่อจัดการกับความเครียด
- การหายใจอย่างมีสติ การสังเกตตัวเอง การฟัง หรือวิธีอื่นที่ช่วยจัดการกับความเครียด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนที่จะทำให้ความวิตกกังวลแย่ลง
- คุยกับเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มที่มีอาการเดียวกันเพื่อจัดการกับโรคนี้
- เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ทำให้กลัวบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้
การบำบัดทางปัญญา-พฤติกรรม :
- การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเจริญสติ เช่น การทำสมาธิแบบมีสติหรือโยคะ อาจช่วยให้คุณตระหนักถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นโดยไม่ถูกครอบงำโดยสิ่งเหล่านั้น การปฏิบัติเหล่านี้สามารถส่งผลต่อความเป็นอยู่ทางอารมณ์โดยรวมได้
เทคนิคการผ่อนคลาย:
การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจเข้าลึกๆ การทำสมาธิ หรือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบค่อยเป็นค่อยไป สามารถช่วยจัดการความวิตกกังวลและความเครียดที่เกี่ยวข้องกับตัวกระตุ้นทริปโปโฟเบียได้การฝึกสติและการฝึกสติและร่างกาย:
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเจริญสติ เช่น การทำสมาธิแบบมีสติหรือโยคะ อาจช่วยให้คุณตระหนักถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองมากขึ้นโดยไม่ถูกครอบงำโดยสิ่งเหล่านั้น การปฏิบัติเหล่านี้สามารถส่งผลต่อความเป็นอยู่ทางอารมณ์โดยรวมได้หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น