โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) หรือ Trich คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่พบได้บ่อย จากการสืบค้นข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) พบว่าชาวอเมริกันกว่า 3.7 ล้านคนล้วนมีอาการของพยาธิในช่องคลอด ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิต
สาเหตุของโรคพยาธิในช่องคลอด
Trich เกิดจากสิ่งมีชีวิตประเภท Protozoan เซลล์เดียวที่เรียกว่า Trichomonas vaginalis สิ่งมีชีวิตนี้สามารถเดินทางจากคนสู่คนผ่านการสัมผัสอวัยวะเพศระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือมีการใช้ของเล่นทางเพศร่วมกัน
ในกรณีของผู้หญิงสิ่งมีชีวิตนี้จะทำให้เกิดอาการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด หรือท่อปัสสาวะ หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ส่วนในกรณีของผู้ชายการติดเชื้อจะเกิดบริเวณท่อปัสสาวะเท่านั้น
ทันทีที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางหรืออุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ ก็สามารถเกิดภาวะติดเชื้อได้ทันที
โรคพยาธิในช่องคลอดไม่ได้ติดต่อจากการสัมผัสทางกายภาพอื่น ๆ อย่างการกอด จูบ กินอาหารร่วมกัน หรือการนั่งบนชักโครกเดียวกัน นอกจากนี้หากเป็นกิจกรรมทางเพศที่ไม่ใช่อวัยวะเพศก็จะไม่ปรากฎการติดเชื้อได้
ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคพยาธิในช่องคลอด
ประมาณการณ์ว่ามีผู้ป่วยโรคโรคพยาธิในช่องคลอด ประมาณ 1 ล้านคนทุกปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่รวบรวมจาก American Sexual Health Association (ASHA) และ CDCT
แหล่งที่เชื่อถือได้ยังระบุว่าโรคพยาธิในช่องคลอดมีโอกาสพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมีผู้หญิง 2.3 ล้านคนมีโอกาสรับเชื้อนี้ได้ในช่วงอายุระหว่าง 14 ถึง 49 ปี
ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่าโดยมากพบว่าโรคนี้พบมากในผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป และพบในผู้หญิงมากกว่า
ความเสี่ยงของการแพร่กระชายของเชื้อจะเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากพฤติกรรมดังนี้:
-
เปลี่ยนคู่นอนหลายคน
-
มีประวัติของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
-
มีสัญญาณของโรคพยาธิในช่องคลอดมาบ้างแล้ว
-
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันอื่น ๆ
อาการของโรคพยาธิในช่องคลอด
โรคพยาธิในช่องคลอดมักไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ จากรายงานของ CDC พบว่ามีเพียง 30 % ของของผู้ป่วย โรคพยาธิในช่องคลอดเท่านั้นที่มีอาการผิดปกติ ส่วนผู้ป่วยอื่น ๆ ไม่มีรายงานอาการใด ๆ เลย
โดยอาการจะเริ่มปรากฎในระยะเวลา 5 ถึง 28 วันหลังจากได้รับเชื่อ ผู้ป่วยบางรายอาจใช้เวลาในการแสดงอาการนานกว่านี้มาก
ในกรณีของผู้หญิง อาการที่พบบ่อยที่สุดมักพบบริเวณช่องคลอด ได้แก่ :
- ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ โดยจะมีสีขาว สีเทา สีเหลือง หรือสีเขียวก็ได้ แต่จะปรากฎฟองในตกขาว และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย
- ช่องคลอดมีเลือดไหลออกมามาก หรือกระปริบกระปรอย
- อวัยวะเพศรู้สึกแสบไหม้ หรือมีอาการคัน
- อวัยวะเพศแดงหรือบวม
- ปัสสาวะถี่ผิดปกติ
- รู้สึกเจ็บปวดระหว่างขับถ่าย หรือในขณะที่มีเพศสัมพันธ์
กรณีเพศชายอาการของโรคที่พบได้บ่อยที่สุดที่อวัยวะเพศคือ:
การรักษาโรคพยาธิในช่องคลอด
เนื่องจากอาการของโรคพยาธิในช่องคลอดคล้ายคลึงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ จึงไม่สามารถวินิจฉัยได้ด้วยอาการผิดปกติเพียงอย่างเดียว แพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคซึ่งนั้นประกอบด้วย :
-
การเพาะเลี้ยงเซลล์
-
การทดสอบสารแอนติเจน (หากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายจับพยาธิ Trichomonas ได้ พวกนั้นจะทำปฏิกิริยาและเกิดการเปลี่ยนสี)
-
การทดสอบเพื่อหา DNA ของ Trichomonas
-
การตรวจตัวอย่างที่ได้จากของเหลวบริเวณช่องคลอด หรือท่อปัสสาวะ รวมถึงปัสสาวะของผู้ป่วยด้วยกล้องจุลทรรศน์
การรักษาอาการของโรคพยาธิในช่องคลอด
การรักษาด้วยยา
-
โรคพยาธิในช่องคลอดสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา Metronidazole (Flagyl) หรือยา Tinidazole (Tindamax)
-
ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังรับประทานยา Metronidazole หรือ 72 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยา Tinidazole เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรงได้
ตรวจสอบให้คู่นอนของผู้ป่วยได้รับการทดสอบและรับประทานยารักษาอาการไปพร้อมกันด้วย แม้ว่าเขาจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ไม่ได้ยืนยันว่าว่าเขาไม่ได้รับเชื้อมาผู้ป่วย และต้องหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 1 สัปดาห์หลังเข้ารับการรักษา
ผลข้างเคียงของโรคพยาธิในช่องคลอด
โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI) ที่เกิดจากปรสิตโปรโตซัว ไม่ถือว่าเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง แต่ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด:- ความไวต่อการติดเชื้ออื่นๆ เพิ่มขึ้น : เชื้อพยาธิในช่องคลอดอาจทำให้เกิดการอักเสบและการระคายเคืองที่อวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ ทำให้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เช่น HIV ได้ง่ายขึ้น และสามารถเพิ่มปริมาณไวรัสในบุคคลที่ติดเชื้อ HIV อยู่แล้ว
- ภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ : เชื้อ Trichomoniasis สามารถเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงการคลอดก่อนกำหนด (คลอดบุตรก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์) และน้ำหนักแรกเกิดน้อย นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อไปยังทารกได้ในระหว่างการคลอดบุตร ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในทารกแรกเกิดได้
- โรคเกี่ยวกับกระดูกเชิงกรานอักเสบ (PID) : แม้ว่าโรคไตรโคโมแนสจะพบได้น้อยกว่าแต่ไม่ได้รับการรักษาสามารถทำให้เกิด PID ซึ่งเป็นการติดเชื้อร้ายแรงในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี PID อาจทำให้เกิดอาการปวดอุ้งเชิงกราน ภาวะมีบุตรยาก และเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ต่อมลูกหมากอักเสบ : ในเพศชาย โรคนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบของต่อมลูกหมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดและไม่สบายบริเวณอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ
- ความรู้สึกไม่สบายและคุณภาพชีวิตต่ำ : อาการของเชื้อรา Trichomoniasis เช่น อาการคัน แสบร้อน และมีสารคัดหลั่ง อาจทำให้เกิดอาการไม่สบายอย่างมากและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความเครียดทางอารมณ์และส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ใกล้ชิด
สรุปภาพรวมโรคพยาธิในช่องคลอด
หากไม่ได้รับการรักษา โรคพยาธิในช่องคลอดจะอยู่กับผู้ป่วยไปตลอด แต่เมื่อได้รับการรักษาอาการจะหายได้ใน 1 สัปดาห์ แต่หากผู้ป่วยพบว่าตนเองยังมีอาการอยู่ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาใหม่
ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อได้อีกแม้จะรักษาอาการจนหายขาดแล้ว ยิ่งเมื่อคู่นอนของผู็ป่วยไม่รับการรักษาร่วม หรือเมื่อมีการเปลี่ยนคู่นอนใหม่ที่เป็นพาหะ
เพื่อลดโอกาสการเกิดซ้ำ ควรแน่ใจก่อนว่าคู่นอนของคุณได้รับการรักษาจนหายขาดจากโรคนี้แล้ว และควรรอจนแน่ใจก่อนกลับมามีเพศสัมพันธ์กันใหม่ หรือประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากเริ่มการรักษา
พบแพทย์เพื่อติดตามอาการอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 เดือนหลังเข้ารับการรักษา อัตราการติดเชื้อใหม่สำหรับผู้หญิงอาจสูงถึง 17 % ภายใน 3 เดือนหลังการรักษา
การกลับมาติดเชื้อใหม่อาจไม่ได้มาจากคู่นอน แต่มาจากการที่เชื้อโรคพยาธิในช่องคลอดเกิดอาการดื้อยารักษาโรค
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/trichomoniasis/symptoms-causes/syc-20378609
-
std/trichomonas/stdfact-trichomoniasis.htm”>https://www.cdc.gov/std/trichomonas/stdfact-trichomoniasis.htm
-
https://www.nhs.uk/conditions/trichomoniasis/
-
https://www.webmd.com/sexual-conditions/guide/trichomoniasis
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team