เท้าบวม

อาการเท้าบวม (Swollen feet) คือ การเกิดจากการที่มีนำ้คั่งสะสมในเท้าซึ่งเรียกอาการนี้ว่า การปวดบวมส่วนปลายนี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในร่างกายส่วนล่าง เพราะส่วนนี้มีความถ่วงมากที่สุด อาการเท้าบวมนั้นมักจะเกิดขึ้นในผู้สูงอายุ อาการนี้อาจจะเกิดขึ้นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ อาจมีผลกระทบไปยังร่างกายส่วนเดียวหรือหลายส่วนก็ได้ ขณะที่อาการเท้าบวม มักจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางสุขภาพมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องไปพบแพทย์ ซึ่งในบางครั้งอาการนี้จะบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาแบบทันท่วงที เท้าบวม (Swollen feet)  

ลองดู Movinix และ Flexadel ช่วยบรรเทาอาการปวด


อาการเท้าบวมอักเสบแบบที่ต้องไปพบแพทย์

ถึงแม้ว่าอาการเท้าบวมนั้นจะไม่ค่อยมีอันตรายมากนัก แต่มันอาจบ่งบอกถึงโรคบางอย่างซึ่งรุนแรงกว่า นี่คือแนวทางเบื้องต้นของอาการเท้าบวม ซึ่งสามารถช่วยให้ระบุอาการกับแพทย์ได้ คุณควรจะพบแพทย์เพื่อทำการนัดหมาย ถ้าอาการต่อไปนี้ :
  • คุณเป็นโรคหัวใจหรือโรคไตอย่างไดอย่างหนึ่ง และมีอาการบวมที่เท้า มือ หรือข้อเท้า
  • คุณเป็นโรคตับและมีอาการขาบวม
  • อวัยวะมีอาการบวมมีอาการปวดอักเสบ แดง และร้อนเมื่อสัมผัส
  • อุณหภูมิร่างกายของคุณสูงผิดปกติ
  • คุณมีการตั้งครรภ์ และมีการปวดบวมอย่างรุนแรง
  • คุณพยายามลองวิธีแบบพื้นบ้าน แต่ก็ยังไม่สามารถรักษาได้
  • อาการบวมของคุณนั้นแย่ลง
ถ้าคุณมีอาการเท้าบวมดังต่อไปนี้ คุณต้องพบแพทย์อย่างด่วนที่สุด :
  • มีอาการเจ็บปวด มีความดันสูง หรือหายใจติดขัดบริเวณหน้าอก
  • อาการเวียนหัว
  • รู้สึกสับสน
  • รู้สึกมึนศีรษะหรือเหมือนจะเป็นลม
  • มีการหายใจติดขัด หรือการหายใจถี่ขึ้น
  • เท้าบวมอักเสบ
แพทย์จะตรวจสุขภาพพื้นฐานของคุณ เพื่อตรวจสภาพร่างกายเพื่อที่จะรักษาไปตามขั้นตอนของคุณ วิธีการรักษาเท้าบวมโดยการใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง อาจจะทำให้อาการบวมนั้นลดลง เช่น ยาขับปัสสาวะ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงและมักจะใช้เฉพาะกรณีที่การรักษาแบบธรรมดานั้นไม่ได้ผล

สาเหตุเท้าบวม

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดบวมของเท้า ขา และข้อเท้า ในกรณีส่วนใหญ่ อาการเท้าบวมเกิดจากปัจจัยในการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่น:
  • น้ำหนักตัวเยอะเกินไป มวลร่างกายที่มีมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนของเลือดนั้นลดลง ซึ่งเป็นสาเหตุของการปวดบวมส่วนปลาย
  • ยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน เมื่อกล้ามเนื่อไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ก็ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังหัวใจได้ การเก็บสะสมของน้ำและเลือด ก็เป็นสาเหตุของการปวดบวมที่ขาได้.
อาการปวดบวมส่วนปลายสามารถเกิดขึ้นได้ในขณะที่ได้รับยาบางชนิด เช่น :
  • ยาสเตรียรอยด์
  • ฮอร์โมนเอสโทรเจน หรือ เทสโทสเทอโรน
  • ยากล่อมประสาทบางชนิด รวมไปถึง tricyclics and monoamine oxidase inhibitors (MAOIs)
  • ยาแก้อักเสบ nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs), รวมไปถึงibuprofen และ aspirin
ยาเหล่านี้ สามารถทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลงได้ โดยเพิ่มความหนาของเลือด ซึ่งทำให้เกิดอาการเท้าบวมได้ คุณสามารถไปพบแพทย์ได้ถ้าคุณสงสัยว่ายาเหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเท้าบวม และอย่าหยุดยาจนกว่าคุณจะไปพบแพทย์ สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับอาการเท้าบวม อาจจะมีสาเหตุมาจากยาที่รับประทานหรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น:
  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนโดยทางธรรมชาติ ระดับการเปลี่ยนแปลงในฮอร์โมนเอสโทรเจนและโปรเจสเทสเทอโรน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเท้าบวม การเปลี่ยนแปลงนี้ ส่วนมากจะเกิดกับผู้หญิงที่มีรอบเดือน และมีการตั้งครรภ์
  • การมีลิ่มเลือดอุตตันที่ขา ลิ่มเลือดเกิดจาการแข็งตัวของเลือด เมื่อลิ่มเลือดก่อตัวในหลอดเลือดดำที่ขามันจะทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง ทำให้เกิดอาการบวมและรู้สึกไม่สบาย
  • อาการบาดเจ็บหรือมีการติดเชื้อ อาการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อที่มีผลต่อเท้า หรือ ข้อเท้า ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นไปยังเท้า ทำให้เกิดอาการเท้าบวม
  • ภาวะการไหลเวียนของหลอดเลือดดำไม่เพียงพอ อาการนี้เกิดจากการเส้นเลือดดำไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังขาได้ ทำให้เกิดอาการบวมที่ขา
  • การเป็นโรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (Pericarditis) ซึ่งเป็นการอักเสบระยะยาวของเยื่อหุ้มหัวใจซึ่งเป็นเยื่อหุ้มถุงรอบหัวใจ อาการนี้ทำให้หายใจลำบากและมีอาการบวมที่ขาและข้อเท้าอย่างรุนแรง 
  • ภาวะบวมน้ำเหลือง หรือที่เรารู้จักกันดีคือภาวะน้ำเหลืองอุดตัน ภาวะนี้เกิดจาการไหลเวียนของระบบน้ำเหลืองที่ไม่ดี ซึ่งระบบนี้ประกอบด้วยต่อมน้ำเหลืองและหลอดเลือดที่ช่วยโอบอุ้มของเหลวทั่วทั้งร่างกาย ภาวะบวมน้ำเหลืองนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้มีอาการเท้าบวมได้
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงในระหว่างตั้งครรภ์ การเพิ่มขึ้นของความดันโลหิตอาจส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดีและมีอาการหน้าบวม แขนบวม และเท้าบวมได้
  • โรคตับแข็ง ซึ่งอาจเกิดจากการดื่มสุราหรือการติดเชื้อ (ไวรัสตับอักเสบบีหรือซี) โรคนี้อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและการไหลเวียนเลือดไม่ดีและทำให้เกิดอาการหน้าบวม มือบวม และเท้าบวมได้

วิธีการป้องกันอาการเท้าบวม

อาการเท้าบวมไม่สามารถป้องกันได้ถาวร แต่อย่างไรก็ตาม นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถป้องกันเท้าบวมได้ในเบื้องต้น ดังนี้:
  • การออกกำลังกายเป็นประจำ เป็นการรักษาการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลสำรวจมาจากองค์การจัดการรูปแบบสุขภาพโลก ได้ผลในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 18 ถึง 64 ปี
  • การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเช่น Movinix
  • แนะนำให้ออกกำลังกายในระดับปกติเวลา 150 นาที หรืออกกำลังกายในระดับหนักหน่วงเวลา 75 นาทีต่อสัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ให้ลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสายบ้างเมื่อนั่งนาน
  • ลดการใส่เกลือในอาหารลง แนะนำให้ผู้ใหญ่รับประทานเกลือได้ไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัมต่อวัน 

อาหารที่อาจทำให้เกิดการอักเสบ

คุณจะเห็นรูปแบบในรายการนี้ อาหารที่มักทำให้เกิดการอักเสบก็ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมของคุณเช่นกัน หนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้คือความเชื่อมโยงระหว่างอาหารที่ไม่ดีกับการเพิ่มของน้ำหนัก ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการอักเสบ

1. น้ำตาลและน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง

เมื่อมีน้ำตาลมากเกินไปในระบบของเรา อินซูลินของเราจะพยายามเก็บส่วนเกินไว้ในเซลล์ไขมัน ทำให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอย่างของอาหารที่มีน้ำตาลสูงและมีปริมาณน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง ได้แก่:
  • ขนมปังขาว
  • ขนมอบ
  • โซดา
  • เครื่องดื่มรสหวาน
  • คุ้กกี้
  • ธัญพืช
  • กราโนล่าบาร์
เราขอแนะนำให้จำกัดการบริโภคน้ำตาลอิสระให้น้อยกว่า 10%ของปริมาณแคลอรี่ (พลังงาน) ทั้งหมดต่อวัน ตามข้อมูลขององค์กร น้อยกว่า 10% ของแคลอรี่ทั้งหมดต่อวันคือประมาณ 50 กรัม (12 ช้อนชา) ของน้ำตาลลที่บริโภคต่อวันโดยพิจารณาจากอาหาร 2,000 แคลอรี่ สิ่งสำคัญในที่นี้คือการบริโภค “น้ำตาลอิสระ” ซึ่งเป็นน้ำตาลและน้ำเชื่อมที่เติมลงในอาหารระหว่างการแปรรูปหรือการเตรียม น้ำตาลมีอยู่ทั่วไปในแหล่งอาหารของเรา ดังนั้นความแตกต่างระหว่างน้ำตาลที่เติมและน้ำตาลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในอาหาร (เช่น กล้วย นม ผลไม้ และผัก) จึงมีความสำคัญ

2. ไขมันทรานส์เทียม

ตัวอย่างอาหารที่มีปริมาณไขมันทรานส์เทียมสูง ได้แก่
  • มันฝรั่งทอด
  • อาหารทอด
  • การทำให้สั้นลง
  • น้ำมันหมู
  • มาการีน

3. น้ำมันพืชและเมล็ดพืช

น้ำมันพืช เมล็ดพืช หรือน้ำมันเติมไฮโดรเจนหลายชนิดอาจมีไขมันทรานส์ ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบ ครั้งหนึ่งเชื่อกันว่าการบริโภคไขมันทรานส์ในระดับปานกลางถือว่าโอเค แต่การวิจัยล่าสุดพบว่าไขมันทรานส์ ไม่ปลอดภัย และอันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากไขมันทรานส์ อยู่ที่ความสามารถในการบิดเบือนเยื่อหุ้มเซลล์

4. คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการกลั่น

ตัวอย่างของอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตขัดสีสูง ได้แก่ :
  • ขนมปัง
  • แครกเกอร์
  • มันฝรั่งทอด
  • ซีเรียลหวาน
  • ข้าวสีขาว
เช่นเดียวกับน้ำตาล คาร์โบไฮเดรตขัดสีทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นและเพิ่มการตอบสนองต่อการอักเสบ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามกำจัดส่วนเกินออกจากปริมาณเลือดของคุณ

5. แอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์หมายความว่าร่างกายของคุณเก็บน้ำไว้มากขึ้น การกักเก็บน้ำส่วนเกินนี้ทำให้เกิดการบวมขึ้น แต่โดยปกติแล้วจะลดลงภายในหนึ่งหรือสองวัน อย่างไรก็ตาม การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรังอาจนำไปสู่ปัญหาในระยะยาว ไม่ใช่แค่เพราะการอักเสบเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตับ หัวใจ และไตด้วย งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติพบว่า “การดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรังไม่เพียงบั่นทอนการทำงานของระบบทางเดินอาหารและตับเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะหลายส่วนอีกด้วย ซึ่งนำไปสู่การอักเสบของระบบอย่างต่อเนื่องและท้ายที่สุดทำให้อวัยวะเสียหาย”

6. เนื้อแดงและเนื้อแปรรูป

เนื้อแปรรูปและเนื้อแดงมีไขมันอิ่มตัวสูงซึ่งทำให้เกิดการอักเสบ ตัวอย่างของเนื้อสัตว์แปรรูปได้แก่:
  • เบอร์เกอร์
  • สเต็ก
  • ฮอทดอก
  • ไส้กรอก

อาหารที่สามารถต่อสู้กับการอักเสบเมื่อเท้าบวม

มีอาหารมากมายที่ต่อสู้กับการอักเสบและสามารถลดอาการบวมได้  เช่น ผักและผลไม้หลายชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระและโพลีฟีนอลสูงซึ่งช่วยลดอาการบวมในร่างกาย ถั่วและกาแฟมีความสัมพันธ์กับการอักเสบที่ลดลง และลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวาน

อาหารที่สามารถต่อสู้กับการอักเสบ ได้แก่ :

1. ผัก

  • มะเขือเทศ
  • ผักโขม
  • ผักคะน้า
  • กระหล่ำปลี

2. ถั่ว

3. ปลาที่มีไขมัน

  • แซลมอน
  • ปลาทู
  • ทูน่า
  • ปลาซาร์ดีน

4. ผลไม้ 

5. กาแฟ 

เนื่องจากกาแฟมีโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และสารต้านการอักเสบอื่นๆ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนนี้อาจป้องกันการอักเสบได้

นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา

  • https://www.nhs.uk/conditions/oedema/
  • https://www.mayoclinic.org/symptom-checker/foot-swelling-or-leg-swelling-in-adults-adult/related-factors/itt-20009075
  • https://medlineplus.gov/ency/article/003104.htm

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด