กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome)

ผู้เขียน Dr. Sommai Kanchana
0
กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน
กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน หรือ Stevens Johnson Syndrome (SJS) เป็นโรคที่หายาก และร้ายแรงของผิวหนังและเยื่อเมือก มักเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อยาที่เริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ตามด้วยผื่นที่เจ็บปวดซึ่งลาม และพุพอง จากนั้นชั้นบนสุดของผิวหนังที่ได้รับผลกระทบก็จะตาย ลอกออก และสามารถกลับมาเป็นปกติอีกครั้งผ่านการรักษา กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มักต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล การรักษามุ่งเน้นไปที่การกำจัดสาเหตุ การดูแลบาดแผล การควบคุมความเจ็บปวด และลดภาวะแทรกซ้อน เมื่อผิวหนังเกิดใหม่ อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนกว่าจะฟื้นตัว กลุ่มอาการ SJS ขั้นรุนแรงคือ Toxic epidermal necrolysis (TEN) เพราะเกิดกับผิวหนังมากกว่า 30% และความเสียหายอย่างกว้างขวางต่อเยื่อเมือก หากอาการของคุณเกิดจากการใช้ยาบางชนิด คุณจะต้องหลีกเลี่ยงยานั้นอย่างถาวร และยาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด 

อาการกลุ่มอาการ SJS

กลุ่มอาการ SJS อาจจะแสดงอาการต่อไปนี้ก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางผิวหนัง
  • ไข้
  • เจ็บปาก และคอ
  • ความเหนื่อยล้า
  • แสบตา
และอาการอื่นๆ ต่อไปนี้
  • อาการปวดผิวหนังเป็นบริเวณกว้างโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผื่นแดง หรือม่วงที่ลุกลาม
  • ตุ่มพองที่ผิวหนัง และเยื่อเมือกของปาก จมูก ตา และอวัยวะเพศ
  • การผลัดผิวภายในไม่กี่วันหลังจากเกิดแผลพุพอง

สาเหตุกลุ่มอาการ SJS

กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันเป็นโรคที่หายาก และคาดเดาไม่ได้ บางครั้งแพทย์อาจไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่โดยปกติแล้วอาการจะเกิดขึ้นจากการใช้ยา การติดเชื้อ หรือทั้งสองอย่าง อาจจะเกิดในทันที หรือ 2 สัปดาห์หลังใช้ยาก็ได้ ยาที่อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน ได้แก่
  • ยาต้านโรคเกาต์ เช่น อัลโลพูรินอล
  • ยารักษาอาการชัก และอาการป่วยทางจิต
  • ซัลโฟนาไมด์ต้านเชื้อแบคทีเรีย (รวมถึงซัลฟาซาลาซีน)
  • เนวิราพีน (Viramune และViramune XR)
  • ยาแก้ปวด เช่น acetaminophen (Tylenol, อื่นๆ), Ibuprofen (Advil, Motrin IB และ อื่นๆ) และ Naproxen sodium (Aleve)
การติดเชื้อที่อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน ได้แก่ โรคปอดบวม และเอชไอวี (HIVs) Stevens Johnson Syndrome

ปัจจัยเสี่ยงกลุ่มอาการ SJS

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน ได้แก่
  • การติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันนั้นสูงกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 100 เท่า
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ระบบภูมิคุ้มกันอาจได้รับผลกระทบไม่ว่าจะจากการปลูกถ่ายอวัยวะ เอชไอวี/เอดส์ และโรคภูมิต้านตนเอง
  • มะเร็ง ผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือด มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสตีเวนส์-จอห์นสันเพิ่มขึ้น
  • ประวัติกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน หากคุณมีอาการที่เกี่ยวข้องกับยา คุณอาจเสี่ยงที่จะกลับมาเป็นอีกหากใช้ยานั้นอีก
  • พันธุกรรม หากสมาชิกในครอบครัวโดยตรงมีอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน คุณก็อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน และความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสตีเวนส์-จอห์นสันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังใช้ยาเพื่อรักษาอาการชัก โรคเกาต์ หรืออาการป่วยทางจิต

การรักษากลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน

การรักษาโรค Stevens-Johnson ได้แก่
  • การหยุดยาที่ทำให้เกิดปัญหากลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน
  • การเปลี่ยนอิเล็กโทรไลต์ด้วยของเหลวทางหลอดเลือดดำ (IV)
  • ครีมเพื่อลดอาการกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันบนผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ
  • การใช้อาหารที่มีแคลอรีสูงโดยอาจให้อาหารทางสายยาง เพื่อส่งเสริมการรักษา
  • ใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อจำเป็น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ใช้ยาบรรเทาปวด
  • หากอาการรุนแรงควรรักษาตัวในโรงพยาบาลจนกว่าจะหายดี
หากคุณมีอาการของกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน โปรดพบแพทย์โดยฉุกเฉน เพื่อเข้ารับการรักษาโดยทันท่วงที ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน

การป้องกัน

การป้องกัน SJS  :
  1. การเฝ้าระวังการใช้ยา : การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทราบโดยเฉพาะในบุคคลที่มีประวัติ SJS
  2. การตรวจทางพันธุกรรม : ในบางกรณี อาจแนะนำการตรวจทางพันธุกรรมสำหรับประเภท HLA ก่อนที่จะสั่งยาที่มีความเสี่ยงสูง
  3. การศึกษา : การแจ้งข้อมูลผู้ป่วยเกี่ยวกับสัญญาณและอาการของ SJS และความสำคัญของการไปพบแพทย์ทันทีหากเกิดขึ้น

บทสรุป

กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสันเป็นภาวะร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจพบอย่างรวดเร็วและการรักษาอย่างเข้มข้น การรับรู้ถึงสาเหตุ อาการ และกลยุทธ์การจัดการของโรคถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ให้บริการด้านการแพทย์และผู้ป่วย เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด