อาการน้ำมูกไหล (Runny Nose) อาจมีสาเหตุเกิดขึ้นได้จากโรคหลายอย่าง ซึ่งหมายถึงการมีเมือกใสไหลออกจากรูจมูก
เยื่อเมือกหรือน้ำมูกเป็นสารที่เกิดจากเยื่อบุผิว ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อชนิดหนึ่งที่อยู่ภายในโพรงจมูก น้ำมูกทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นเมื่อคนเราหายใจและดักจับฝุ่นละอองและเกสรรวมถึงเชื้อแบคทีเรีย เพื่อไม่ให้สามารถเข้าสู่ปอด
ในโพรงจมูกมีการผลิตน้ำมูกทุกวัน แต่เราอาจไม่ได้สังเกตุ เนื่องจากน้ำมูกผสมกับน้ำลายและไหลลงโพรงที่อยู่ด้านหลังลำคอของคุณ
บางครั้งอาจมีสารที่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองหรือการติเชื้อในทางเดินหายใจ ซึ่งก่อให้เกิดการผลิตน้ำมูกจำนวนมาก ในกรณีนี้ร่างกายจะขับน้ำมูกส่วนเกินออกทางรูจมูก
อาการและสาเหตุของโรคภูมิแพ้
สาเหตุ 15 ประการดังต่อไปนี้เป็นสาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลโรคภูมิแพ้
การทำกิจกรรมทั้งในและนอกบ้านเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ได้แก่- ฝุ่น
- เกสรดอกไม้
- ขนสัตว์
ไข้หวัดธรรมดา
ไข้หวัดเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อเกิดการติดเชื้อที่ทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เนื้อเยื่อโพรงจมูกอักเสบ ส่งผลทำให้เกิดการผลิตเมือกออกมามากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังทำให้มีอาการน้ำจมูกคัดจมูกร่วมด้วย อาการอื่นๆที่เกิดขึ้นได้แก่อาการไอ เจ็บคอ และอ่อนเพลีย สำหรับอาการไข้หวัดไม่มียารักษาโดยเฉพาะ มีเพียงแต่ยาแก้หวัดจากร้านขายยาทั่วไป ที่นำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ ควบคู่กับการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทานวิตามินซีและดื่มน้ำอุ่นเป็นวิธีที่ช่วยทำให้อาการดีขึ้น หลายคนเข้าใจผิดว่ายาปฏิชีวนะช่วยรักษาไข้หวัด ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด สำหรับยาฆ่าเชื้อหรือปฏิชีวนะเป็นยาที่ ควรนำมาใช้กับอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เช่นโพรงไซนัสอักเสบ เป็นต้น เนื่องจากยาปฏิชีวนะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อจากไวรัสได้โพรงไซนัสอักเสบ
ไซนัสอักเสบเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากจากไข้หวัดทั่วไป โดยเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อโพรงจมูกเกิดการอักเสบ นอกจากนี้การอักเสบยังเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดการผลิตเมือกภายในจมูกเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้เกิดน้ำมูกไหล สำหรับอาการอื่นๆของไซนัสอักเสบได้แก่ ปวดหัว คัดจมูก และปวดเมื่อยบริเวณใบหน้า การรักษาอาการไซนัสอักเสบสามารถใช้ยาแก้ปวด และใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกร่วมกันได้ เพื่อยังยั้งการอักเสบหรือใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียผนังกั้นจมูกคด
อาการนี้เกิดขึ้นเมื่อผนังกั้นที่อยู่ระหว่างช่องจมูกอยู่ผิดตำแหน่งหรือมีลักษณะคดงอ โดยบางคนอาจมีอาการผนังกั้นจมูกคดตั้งแต่เกิด แต่อย่างไรก็ตามความผิดปกตินี้สามารถเกิดจากการบาดเจ็บที่จมูกได้เช่นกัน เมื่อเกิดปัญหาผนังกั้นจมูกคดขึ้น สามารถทำให้อาการโพรงไซนัสอักเสบเกิดขึ้นซ้ำได้ รวมถึงทำให้เกิดการติดเชื้อรอบโพรงจมูกเป็นสาเหตุทำให้น้ำมูกไหลได้ แพทย์แนะนำให้ทานยาต้านฮีสตามีนหรือยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูกเพื่อบรรเทาอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ถ้าหากการใช้ยาไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาผนังจมูกคดไข้หวัด
ไข้หวัดเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อบนเยื่อบุภายในโพรงจมูกได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นเกิดขึ้นได้เช่น- มีไข้
- ปวดกล้ามเนื้อ
- หนาวสั่น
- ปวดหัว
- เหนื่อยล้า
การใช้ยารักษา
แม้ว่ามียาที่ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหลมากมาย แต่มียาบางชนิดที่กระตุ้นทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลมากขึ้นในผู้ป่วยบางราย ยาที่ทำให้เกิดน้ำมูกไหลได้แก่- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาแอสไพรินและยาไอบลูโพรเฟน
- ยาระงับประสาท
- ยาต้านโรคซึมเศร้า
- ยาควบคุมความดันเลือด
โรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้
โรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ (vasomotor rhinitis) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินหายใจซึ่งมีอาการคล้ายกับโรคไข้ละอองฟาง ได้แก่ น้ำมูกไหลและจาม แต่อาการเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุและไม่ได้เกิดจากการกระตุ้นโดยสารฮีสตามีนหรือสารก่อภูมิแพ้ นอกจากการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการอักเสบชนิดไม่แพ้แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่สามารถกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบชนิดนี้ได้เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ การสัมผัสแสงแดดหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ การทานต้านยาฮีสตามีนไม่สามารถรักษาการอักเสบชนิดนี้ได้ แต่ยาฮีสตามีนชนิดพ่นจมูกหรือการใช้น้ำเกลือพ่นจมูกสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อและหลอดเลือดในโพรงจมูกขยายตัวขึ้นส่งผลทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ โดยภาวะฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น รวมถึงการทานยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด นอกจากนี้ยาฮีสตามีนชนิดพ่นจมูกหรือน้ำเกลือพ่นจมูกสามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและมีน้ำมูกไหลเนื่องจากฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงได้เช่นกันอากาศแห้ง
อากาศแห้งนอกจากจะทำให้ผิวแห้งแล้ว ยังทำให้ผนังของทางเดินหายใจแห้งด้วยเช่นกัน เนื่องจากความชุ่มชื้นภายในจมูกลดลง เป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อและกระตุ้นทำให้เกิดน้ำมูกไหลได้ อาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากอาการระคายเคืองในโพรงจมูก สำหรับวิธีจัดการกับปัญหานี้ เราสามารถใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศได้ นอกจากนี้เวลาควรสวมใส่ผ้าพันคอให้ครอบคลุมทั้งจมูกและปากเมื่อคุณออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านในฤดูหนาวริดสีดวงจมูก
ริดสีดวงจมูกเป็นเนื้องอกที่เกิดขึ้นบนเนื้อเยื่อภายในจมูกเนื่องจากเยื่อบุในโพรงจมูกอักเสบ เมื่อเนื้อเยื่อเกิดการอักเสบทำให้เกิดการผลิตเยื่อเมือกมากขึ้นจึงทำให้มีน้ำมูกและทำให้เกิดเสมหะในลำคอได้ อาการอื่นของริดสีดวงจมูกได้แก่:- สูญเสียการได้กลิ่น
- โพรงไซนัสอักเสบ
- มีเสียงกรน
- ปวดหัว
การใช้สเปรย์พ่นจมูกมากเกินไป
แม้ว่าการใช้ยาพ่นจมูกช่วยลดอาการอักเสบภายในจมูกได้ แต่การใช้ยาพ่นจมูกมากเกินไปทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมาขึ้นได้เช่นกัน โดยปกติไม่ควรหาซื้อยาพ่นจมูกใช้เองมากกกว่า 5 วันหรือครั้ง เนื่องจากการใช้ยาพ่นจมูกเป็นเวลานานทำให้เกิดการติดเชื้อในโพรงไซนัสเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุกระตุ้นทำให้เกิดน้ำมูกไหลมากขึ้นได้ หลังจากหยุดใช้ยาพ่นจมูกแล้วอาการอักเสบจะดีขึ้นภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์โรคติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ (RSV)
การติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด และเป็นการติดเชื้อที่เกิดขึ้นภายในปอดและระบบทางเดินหายใจ ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ โดยทำให้เกิดอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและมีน้ำมูกไหล อาการอื่นได้แก่:- คัดจมูก
- ไอแห้ง
- มีไข้ต่ำ
- เจ็บคอ
- ปวดหัว
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ทานยาลดไข้
- ใช้น้ำเกลือพ่นจมูกชนิดสเปรย์
- ทานยาปฏิชีวนะ ถ้ามีการติดเชื้อจากแบคทีเรีย
อาหารรสเผ็ด
การทานอาหารที่มีรสเผ็ดทำให้มีน้ำมูกไหลได้เช่นกัน เนื่องจากเป็นอาการจมูกอักเสบที่เกิดจากการ ได้กลิ่นหรือรับรส ซึ่งเป็นอาการจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ที่ไม่ได้เกิดจากฮีสตามีนหรือสารก่อภูมิแพ้ แต่เป็นการกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในโพรงไซนัสมากเกินไปเมื่อคุณทานอาหารที่มีรสเผ็ด เนื้อเยื่อในโพรงจมูกเข้าใจผิดว่าอาหารรสเผ็ดก่อให้เกิดอาการระคายเคือง จึงกระตุ้นทำให้เกิดการผลิตน้ำมูกเพิ่มมากขึ้นเพื่อกำจัดสิ่งที่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง ซึ่งอาการน้ำมูกไหลจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นและหายไปได้เองเมื่อหยุดทานอาหารรสเผ็ด ดังนั้นการทานอาหารที่ไม่มีรสเผ็ดจึงช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้การสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองและเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดน้ำมูกไหลออกมากเกินไปได้ ดังนั้นควรหยุดสูบบุหรี่เมื่อมีน้ำมูกไหลหรือหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่สูบบุหรี่การตั้งครรภ์
ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์อาจจะทำให้ร่างกายสร้างเมือกที่โพรงจมูกมากขึ้น และเป็นสาเหตุกระตุ้นทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลได้ โดยประมาณ 20% ของสตรีมีครรภ์มักมีอาการจมูกอักเสบชนิดไม่แพ้ ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์ อาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงในระหว่างตั้งครรภ์ โดยปกติอาการสามารถหายไปเองหลังจากคลอดบุตร หรือในระหว่างตั้งครรภ์ คุณสามารถนอนยกศีรษะให้สูงขึ้นประมาณ 30 องศา เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก และสามารถออกกำลังกายเบาๆเพื่อบรรเทาอาการจมูกอักเสบได้เช่นกัน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทานยาต้านฮีสตามีน ว่ายาชนิดนี้ปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือไม่การดูแลตัวเองด้วยธรรมชาติเมื่อน้ำมูกไหล
อาการน้ำมูกไหลหรือที่เรียกว่าน้ำมูกไหลเป็นอาการทั่วไปของสภาวะต่างๆ เช่น ภูมิแพ้ หวัด และติดเชื้อไซนัส แม้ว่าการระบุสาเหตุที่แท้จริงของอาการน้ำมูกไหลเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็มีวิธีรักษาแบบธรรมชาติที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้:- การสูดดมไอน้ำ:การสูดดมไอน้ำสามารถช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกและลดอาการน้ำมูกไหลได้ ต้มน้ำ เทลงในชาม แล้ววางหัวไว้เหนือชามโดยเอาผ้าขนหนูคลุมไว้ สูดไอน้ำสักสองสามนาที คุณยังสามารถเติมน้ำมันหอมระเหย เช่น ยูคาลิปตัสหรือเปปเปอร์มินต์ 2-3 หยดเพื่อบรรเทาอาการได้อีกด้วย
- น้ำเกลือล้างจมูก:การใช้น้ำเกลือล้างจมูกสามารถช่วยล้างน้ำมูกและลดการอักเสบได้ คุณสามารถซื้อสเปรย์ฉีดน้ำเกลือหรือทำเองโดยการผสมเกลือกับน้ำอุ่น ใช้หม้อเนติหรือกระบอกฉีดยาล้างจมูกเพื่อล้างช่องจมูกเบาๆ
- ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ:การคงความชุ่มชื้นจะช่วยให้เสมหะบางลง ทำให้ขับออกได้ง่ายขึ้น ดื่มน้ำปริมาณมาก ชาสมุนไพร และน้ำซุปใสเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
- น้ำผึ้งและมะนาว:การเติมน้ำผึ้งและมะนาวลงในน้ำอุ่นสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและอาจช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหลได้ด้วย น้ำผึ้งมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียเล็กน้อยและสามารถบรรเทาอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อในลำคอได้
- อาหารรสเผ็ด:เครื่องเทศ เช่น พริกและมะรุมสามารถช่วยเปิดช่องจมูกได้ รวมอาหารรสเผ็ดเข้าไปในอาหารของคุณหากคุณสามารถทนได้
- วิตามินซี:อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว สตรอเบอร์รี่ และพริกหยวก สามารถช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันและอาจช่วยลดระยะเวลาของการเป็นหวัดได้
- พักผ่อน:การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการได้
- การยกศีรษะขึ้น:การนอนโดยยกศีรษะขึ้นเล็กน้อยสามารถช่วยลดอาการคัดจมูกและป้องกันไม่ให้น้ำมูกสะสมในช่องจมูกได้
- หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง:อยู่ห่างจากสารระคายเคือง เช่น ควัน กลิ่นฉุน และมลพิษ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้
บทสรุป
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลได้แก่ ไข้หวัดและอาการแพ้ แต่อย่างไรก็ตามอาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน โดยปกติอาการน้ำมูกไหลสามารถหายเองได้ ด้วยการรักษาทั่วไป อย่างไรก็ตามควรไปพบแพทย์เมื่อมีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลืองและมีอาการปวดโพรงจมูกร่วมด้วยนี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/symptoms/runny-nose/basics/causes/sym-20050640
- https://www.webmd.com/lung/qa/is-my-runny-nose-coronavirus-or-a-cold
- https://www.nhs.uk/conditions/non-allergic-rhinitis/
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น