เชื้อไวรัสโรคต้า (Rotavirus) เป็นการติดเชื้อชนิดหนึ่งที่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถเกิดการติดต่อได้สูงและแพร่กระจายได้ง่าย โดยส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในเด็ก แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน แม้ว่าโดยปกติจะมีอาการติดเชื้อที่รุนเเรงน้อยกว่า
ข้อมูลจากสถาบันป้องกันและควบคุมโรครายงานว่าก่อนที่จะมีการผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าเกิดขึ้นในปี 2006 การติดเชื้อจากไวรัสชนิดนี้ทำให้มีสถิติประจำปีดังต่อไปนี้เกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ในประเทศสหรัฐอเมริกา
- มีเด็กจำนวน 400,000 ไปพบกุมารแพทย์
- มีเด็กจำนวนระหว่าง 55,000 และ 70,000 รายนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
- มีเด็กจำนวนอย่าง 200,000 รายเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน
- มีเด็กจำนวนระหว่าง 20 และ 60 เสียชีวิต
อาการของการติดเชื้อไวรัสโรต้า
อาการไวรัสโรต้าในเด็ก
อาการของเชื้อไวรัสโรต้ามีลักษณะอาการที่โดดเด่นมากที่สุดเมื่อเกิดขึ้นกับเด็ก อาการของการติดเชื้อไวรัสเริ่มเกิดขึ้นภายใน 2 วันหลังจากสัมผัสกับเชื้อ ซึ่งโดยปกติอาการไวรัสโรต้าคืออาการท้องเสียอย่างรุนเเรง นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสในเด็กยังทำให้มีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ภาวะขาดน้ำเป็นสิ่งที่น่าเป็นกังวลที่สุดในเด็ก ซึ่งกลุ่มเด็กในช่วงอายุนี้มีร่างกายที่อ่อนแอเนื่องจากการสูญเสียน้ำและสารอิเล็กโทรไลต์ผ่านการอาเจียนและอาการท้องร่วงรวมถึงการที่พวกเขามีน้ำหนักตัวน้อย ดังนั้นคุณจำเป็นต้องสังเกตุอาการของภาวะขาดน้ำอย่างระมัดระวัง ซึ่งได้แก่อาการดังต่อไปนี้- ปากแห้ง
- ตัวเย็น
- ไม่น้ำตาเมื่อร้องไห้
- ปัสสาวะน้อยลง (หรือผ้าอ้อมเด็กเปียกน้ำ)
- มีอาการตาโหล
อาการไวรัสโรต้าในผู้ใหญ่
สำหรับผู้ใหญ่สามารถมีอาการติดเชื้อจากไวรัสโรต้าได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามในผู้ใหญ่ที่มีร่างกายเเข็งเเรงจะมีอาการติดเชื้อที่ไม่รุนเเรงหรือบางคนอาจไม่มีอาการติดเชื้อไวรัสโรต้าเกิดขึ้นเลยระยะเวลาติดเชื้อไวรัสโรต้าเกิดขึ้นยาวนานเท่าไหร่
ในระหว่างการรักษาอาการติดเชื้อไวรัส อันดับแรกเด็กจะเป็นไข้เเละมีอาการอาเจียน รวมถึงมีอาการถ่ายเป็นน้ำที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 3-7 วันหลังจากได้รับเชื้อ โดยการติดเชื้อไวรัสสามารถหายไปเองได้ภายใน 10 วันด้วยการขับถ่ายไวรัสออกทางอุจจาระหลังจากนั้นอาการไวรัสจะหายไป คุณจำเป็นต้องไปพบเเพทย์ ถ้าหากอาการติดเชื้อจากไวรัสไม่ดีขึ้นภายในไม่กี่วันหรือมีอาการป่วยรุนเเรงขึ้น สำหรับการวินิจฉัยเชื้อไวรัสโรต้าสามารถทำการตรวจเชื้อจากตัวอย่างอุจจาระการติดต่อของเชื้อไวรัสโรต้า
เชื้อไวรัสโรต้าอยู่ในอุจจาระและโดยส่วนใหญ่มักเกิดการเเพร่กระจายด้วยการสัมผัสมือเเละปาก ถ้าหากมีคุณจับหรือถือวัตถุที่มีเชื้อไวรัสและเอามือมาจับที่ปาก คุณสามารถติดเชื้อไวรัสได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรล้างมือหลังจากการใช้ห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเด็ก ทารกเเละเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปีมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโรต้าได้สูงที่สุด ดังนั้นการอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้เช่นกัน คุณอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังเเละป้องกันตัวเองในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากในฤดูนี้เป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้มากที่สุดของปี เชื้อไวรัสสามารถอาศัยอยู่บนพื้นผิวได้เป็นระยะเวลายาวนานหลายวัน (หรือหลายสัปดาห์) หลังจากผู้คนสัมผัสกับเชื้อไวรัส นี่เป็นเหตุผลที่สำคัญที่เราควรทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนพื้นผิวบริเวณต่างๆในบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อมีสมาชิกในบ้านติดเชื้อไวรัสโรต้าการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโรต้า
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาหรือวิธีรักษาที่สามารถทำให้เชื้อไวรัสโรต้าหายไปได้ มีเพียงแต่ยาที่ใช้รักษาการติดเชื้อตามอาการที่เกิดขึ้นเช่น ยาต้านไวรัส ยารักษาอาการท้องเสียและยาปฏิชีวนะ สำหรับเป้าหมายการรักษาเชื้อไวรัสโรต้ามีจุดประสงค์เพื่อทำให้ร่างกายไม่เกิดภาวะขาดน้ำในขณะที่กำลังพยายามขับเชื้อไวรัสออกจากร่างกาย วิธีดังต่อไปนี้เป็นข้อควรปฏิบัติในช่วงที่เกิดการติดเชื้อไวรัสโรต้า- ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- ทานอาหารที่มีน้ำซุปเป็นหลัก
- ทานไอศครีม Pedialyte หรือผงเกลือแร่ชง (เป็นสิ่งที่ควรให้เด็กทานเมื่อมีอาการท้องเสีย)
- ทานอาหารรสชาติจืดเช่นขนมปังกับเกลือ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันเนื่องจากอาหารเหล่านี้ทำให้มีอาการท้องเสียแย่ลง
- อาเจียนต่อเนื่อง
- มีอาการท้องเสียบ่อยเป็นเวลา 24 ชั่วโมงหรือนานกว่า
- ไม่สามารถหยุดถ่ายของเหลวได้
- มีไข้ที่ 40 องศา หรือสูงกว่า
วัคซีนรักษาไวรัสโรต้า
วัคซีนสำหรับรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโรต้าออกสู่ตลาดยาในปี 2006 ซึ่งก่อนช่วงเวลาดังกล่าว การติดเชื้อไวรัสโรต้ามักเกิดขึ้นกับเด็กเป็นประจำ ตั้งแต่มีวัคซีนสำหรับไวรัสโรต้าเกิดขึ้น เด็กที่ป่วยในโรงพยาบาลและเด็กที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโรต้ามีอัตราลดลงอย่างมาก คุณสามารถช่วยป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าและการเกิดภาวะแทรกซ้อนด้วยการพาลูกของคุณไปรับฉีดวัคซีน โดยวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสมีอยู่ 2 รูปแบบได้แก่- วัคซีนโรต้าชนิดหยอดสองครั้ง (Rotarix) สำหรับเด็กทารกที่มีอายุ 6 ถึง 24 สัปดาห์
- วัคซีนโรต้าชนิดหยอดสามครั้ง (RotaTeq) สำหรับเด็กทารก 6 ถึง 32 สัปดาห์
- ท้องเสีย
- มีไข้
- มีอารมณ์ฉุนเฉียว
- หงุดหงิดง่าย
- โรคลำไส้กลืนกัน (พบได้น้อยมาก)
การดูแลตนเอง
หากลูกน้อยของคุณป่วย ให้ลูกรับประทานของเหลวในปริมาณเล็กน้อย หากคุณกำลังให้นมลูก ควรให้ลูกกินนมแม่ หรือให้รับประทานนมตามปกติ หากลูกคนโตของคุณรู้สึกไม่สบาย แนะนำให้เขาหรือเธอพักผ่อน ให้ทานอาหารที่มีรสชาติจืด เช่น ขนมปังโฮลเกรนหรือแครกเกอร์ เนื้อไม่ติดมัน โยเกิร์ต ผลไม้และผัก ของเหลวจำนวนมากก็มีความสำคัญเช่นกัน หลีกเลี่ยงโซดา น้ำแอปเปิ้ล ผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ใช่โยเกิร์ต และอาหารที่มีน้ำตาล ซึ่งจะทำให้อาการท้องเสียแย่ลงได้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน รวมถึงอาหารที่ปรุงรสจัด คาเฟอีน แอลกอฮอล์ และนิโคตินบทสรุปและการป้องกัน
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนเเรงเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัสโรต้ายังเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เสียชีวิต ซึ่งเด็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงติดเชื้อสูงสุด ควรไปพบกุมารแพทย์ทันที ถ้าหากลูกของคุณได้รับการติดเชื้อไวรัสโรต้าเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อไวรัสโรต้า การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้า โดยเฉพาะในเด็กที่มีอายุน้อย นอกจากนี้คุณยังสามารถป้องกันการเเพร่เชื้อไวรัสด้วยการล้างมือเป็นประจำก่อนรับประทานอาหารนี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.cdc.gov/rotavirus/index.html
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/rotavirus/symptoms-causes/syc-20351300
- https://www.healthline.com/health/rotavirus
- https://www.nhs.uk/conditions/vaccinations/rotavirus-vaccine/
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น