PET scan คือ อะไร
Positron Emission Tomography หรือ PET Scan คือ การตรวจโรคโดยการถ่ายภาพที่ช่วยทำให้แพทย์สามารถตรวจสอบหาโรคในร่างกายได้การตรวจสแกนนี้จะใช้สารย้อมพิเศษที่มีสารกัมมันตรังสีเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยการกลืน สูดดม หรือฉีดเข้าสู่เส้นเลือดที่แขน ซึ่งขึ้นอยู่กับต้องการตรวจส่วนไหนของร่างกาย จากนั้นเนื้อเยื่อ และอวัยวะบางส่วนก็จะดูดซึมสารนี้ เมื่อเข้าเครื่องเพ็ทสแกน สารดังกล่าวนี้จะช่วยทำให้แพทย์มองเห็นการทำงานของอวัยวะ และเนื้อเยื่อว่าเป็นอย่างไรบ้าง สารติดตามนี้จะไปสะสมอยู่ในบริเวณที่มีการทำงานของเคมีสูงสุด ซึ่งเป็นบริเวณที่เชื้อโรคแสดงตัวเป็นจุดสว่างให้เห็นได้จากเครื่อง PET Scan เครื่อง PET Scan สามารถวัดการไหลเวียนของเลือด การใช้ออกซิเจน การใช้น้ำตาลในร่างกาย และอื่นๆอีกมากมาย การตรววจ PET Scan เป็นการตรวจแบบคนไข้นอก นั่นหมายความว่าคุณสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียวกันหลังการตรวจเสร็จสิ้น ในสหรัฐอเมริกามีการตรวจ PET Scans ราว 2 ล้านคนในแต่ละปีทำไมจึงต้องตรวจ PET Scan
แพทย์อาจสั่งตรวจ PET Scan เพื่อตรวจการไหลเวียนของเลือด การใช้ออกซิเจน หรือดูการเผาผลาญของอวัยวะ และเนื้อเยื่อ การตรวจด้วย PET Scan จะแสดงให้เห็นปัญหาในระดับเซลล์ ให้ภาพที่ชัดเจนเพื่อให้แพทย์สามารถเห็นภาพของโรคทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ การตรวจด้วย PET Scans มักนำมาใช้ในการตรวจโรค เช่น :- โรคมะเร็ง
- มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
- โรคทางสมอง รวมไปถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบประสาทส่วนกลาง (CNS)
มะเร็ง
เซลล์มะเร็งมีอัตราการเผาผลาญสูงมากกว่าเซลล์ที่ไม่ได้เป็นเซลล์มะเร็ง เพราะเหตุนี้จึงทำให้เกิดการทำงานทางเคมีในระดับสูง เซลล์มะเร็งนี้ก็จะไปแสดงตัวเป็นจุดสว่างให้เห็นบนเครื่อง PET Scans เพราะ เช่น นี้เองเครื่อง PET Scans จึงมีประโยชน์สำหรัยการตรวจหาโรคมะเร็ง และเพื่อ:- มองหาว่ามีการกระจายตัวของมะเร็ง หรือไม่
- มองหาว่าการรักษามะเร็งได้ผล หรือไม่
- เพื่อหาว่ามะเร็งกลับมากำเริบอีก หรือไม่
ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ
การตรวจด้วย PET Scans จะแสดงให้เห็นพื้นที่การไหลเวียนของเลือดในหัวใจที่ลดลงได้ เพราะเนื้อเยื่อหัวใจของคนที่สุขภาพดีจะเห็นสารติดตามที่รับเข้าไปได้มากกว่าเนื้อเยื่อที่สุขภาพไม่ดี หรือเนื้อเยื่อที่มีการไหลเวียนเลือดลดต่ำลง ด้วยสีที่แตกต่าง และระดับความสว่างที่ปรากฎบนเครื่องสแกนจะสามารถบอกระดับความแตกต่างการทำงานของเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ และคนไข้สามารถตัดสินใจได้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อได้ผลดีที่สุดต่อไปโรคทางสมอง
กลูโคสคือ พลังงานหลักของสมอง ในระหว่างการทำ PET Scans สารติดตามที่ได้รับเข้าไปจะไป “ติด”กับสารประกอบ เช่นกลูโคส ด้วยการตรวจจับกัมมันตรังสีกลูโคส การตรวจ PET Scan จะสามารถตรวจจับได้ว่ามีพื้นที่ในสมองส่วนไหนมีการใช้กลูโคสในอัตราที่สูงที่สุดได้ แพทย์จะดูการสแกนเพื่อดูการทำงานของสมองว่าเป็นอย่างไร และเพื่อตรวจเช็คสิ่งผิดปกติทั้งหมดที่เกิดขึ้น PET Scans ถูกนำมาช่วยในการวินิจฉัย และจัดการกับโรคทางระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งรวมไปถึง:การตรวจ PET Scan เทียบกับการตรวจอื่นๆเป็นอย่างไร
การตรวจ PET Scans จะแสดงให้เห็นการเปลี่บนแปลงการเผาผลาญที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์ในอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะโรคมักเกิดขึ้นในระดับเซลล์ การตรวจด้วยซีทีสแกน และเอ็มอาร์ไอจะไม่สามารถแสดงให้เห็นปัญหาในระดับเซลล์ได้ การตรวจด้วย PET Scans สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ในขณะที่ซีทีสแกน และเอ็มอาร์ไอจะสามารถตรวจจับเจอได้เฉพาะในช่วงหลังเท่านั้น เมื่อโรคเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อ การตรวจจับอาการเจ็บป่วยที่ระดับเซลล์จะทำให้แพทย์เห็นความชัดเจนของโรคได้อย่างสมบูรณ์ได้ดีที่สุด เช่น:- โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี
- โรคเนื้องอกในสมอง
- โรคความจำ
- โรคลมชัก
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจ PET Scan คือ อะไร
การตรวจ PET Scan คือ สารติดตามกัมมันตรังสี แต่เป็นสารกัมมันตรังสีที่ส่งผลอันตรายได้น้อยมาก ปริมาณที่ใช้น้อยมากทำให้เกิดความเสี่ยงต่อร่างกายต่ำ ความเสี่ยงของการตรวจนี้มีน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์จากการได้รับเพื่อการวินิจฉัยโรคที่รุนแรงคนที่มีภาวะภูมิแพ้ และโรคประจำตัวอื่นๆ
การเกิดปฏิกิริยาแพ้ต่อสารติดตามอาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ คนที่แพ้ไอโอดีน แอสปาร์แตม หรือแซ็กคาริน ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ปฏิกิริยาแพ้จากสารติดตามไอโอดีนอาจเกิดขึ้นกับคนที่มีภาวะ เช่น :- เคยมีประวัติแพ้ในการตรวจ PET Scans มาก่อน
- โรคภูมิแพ้
- โรคหอบหืด
- โรคหัวใจ
- ภาวะขาดน้ำ
- เป็นโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว โรคเลือดข้น และโรคมะเร็งไขกระดูกมัยอิโลมา
- โรคไต
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเบต้าบล็อกเกอร์ ยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยา Interleukin-2 (IL-2)
หญิงตั้งครรภ์
สารกัมมันตรังสีไม่ปลอดภัยสำหรับการพัฒนาการของตัวอ่อน หากมีการตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ไม่ควรทำการตรวจด้วย PET Scanการตรวจ PET Scan ควรเตรียมตัวอย่างไร
แพทย์จะแนะนำการเตรียมตัวให้คนไข้ก่อนการตรวจอย่างละเอียด แจ้งให้แพทย์ทราบว่ากำลังทานยาตามแพทย์สั่ง หรือยาที่ซื้อเองตามร้านขายทั่วไป หรืออาหารเสริมสองสามวันก่อนการตรวจ
อาจต้องเว้นการทำกิจกรรมทางร่างกายแบบหนัก เช่น การออกกำลังกาย เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อนการตรวจหนึ่งวันก่อนการตรวจ
ก่อนการนัดตรวจ 24 ชั่วโมงแพทย์จะขอให้คนไข้ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ไม่ทานน้ำตาล อาหาร และเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงคือ :- ซีเรียล
- พาสต้า
- ขนมปัง
- ข้าว
- นม และโยเกิร์ต
- แอลกอฮอล์
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ลูกอม รวมถึงหมากฝรั่ง
ก่อนการตรวจ
หากคุณต้องใช้ยาระงับความรู้สึกในการตรวจ ห้ามรับประทานอาหาร และน้ำทุกชนิดตลอดช่วงเช้าในวันที่ตรวจ อาจจิบน้ำได้เล็กน้อยหากจำเป็นต้องทานยา แต่หากไม่ต้องได้รับยาระงับความรู้สึก ก็ยังต้องหยุดการรับประทานอาหาร และน้ำทุกชนิดก่อนการตรวจหกชั่วโมง ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของทางโรงพยาบาล เพราะโลหะจะส่งผลต่อการตรวจ คุณจึงจำเป็นต้องถอดเครื่องประดับที่สวมใส่ออกก่อนข้อควรพิจารณาอื่นๆ
ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับโรคประจำตัวที่มี:- หากกำลังตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ควนแจ้งให้แพทย์ทราบ เพราะการตรวจนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กในครรภ์
- หากกำลังให้นมบุตร อาจต้องปั้มน้ำนมเก็บไว้ล่วงหน้าช่วง 24 ชั่วโมงในการตรวจ คุณจะไม่สามารถให้นมบุตรได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังการตรวจ
- หากคุณเป็นโรคเบาหวาน คุณอาจได้รับคำแนะนำพิเศษในการเตรียมตัวเพราะการอดอาหารก่อนการตรวจอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจ PET Scan ทำอย่างไร
ก่อนการตรวจ คุณจะได้รับสารติดตามผ่านทางเส้นเลือดที่บริเวณแขน ผ่านทางการดื่ม หรือเป็นแก๊สสูดดม ร่ากายจะใช้เวลาในการดูดซึมสารติดตาม จึงต้องใช้เวลารอคอยราวหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มการสแกน ระยะเวลาในการดูดซึมสารติดตามเต็มที่ของร่างกายจะขึ้นอยู่กับบริเวณของร่างกายที่ต้องการสแกน ในขณะที่รอคอยเวลา คุณจำเป็นต้องไม่เคลื่อนไหวมาก ต้องนอนพัก และพยายามอยู่เฉยๆ หากคุณต้องสแกนที่ส่วนสมอง อาจต้องหลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือ ถัดมา เมื่อถึงเวลาสแกนอาจใช้เวลาราว 30-45 นาที ด้วยการนอนบนโต๊ะแคบๆที่ติดมากับเครื่องสแกน ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่มีโต๊ะที่จะค่อยๆเลื่อนเข้าไปในเครื่องเพื่อทำการสแกน คุณต้องนอนนิ่งๆในระหว่างการสแกน ช่างเทคนิคจะคอยบอกให้คุณนอนนิ่งๆ อาจต้องมีการกลั้นหายใจบ้างในระหว่างการตรวจ คุณจะได้ยินเสียงหึ่งๆ และเสียงคลิ๊กดังเป็นระยะในระหว่างตรวจ เมื่อภาพที่ต้องการถูกเก็บบันทึกไว้สมบูรณ์แล้ว เครื่องจะเลื่อนตัวคุณออกมาเป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการในการตรวจจะเกิดอะไรขึ้นหลังการตรวจ
หลังการตรวจ คุณสามารถกลับบ้านได้เลยเว้นเสียแต่ว่าแพทย์จะแนะนำอย่างอื่นเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม เพราะสารกัมมันตรังสีจะยังคงมีค้างอยู่ในร่างกายอีกราว 12 ชั่วโมง คุณอาจต้องถูกจำกัดการสัมผัสใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์ และทารกในช่วงระหว่างเวลาดังกล่าว ควรดื่มน้ำเยอะๆหลังการตรวจเพื่อเป็นการขับสารติดตามนี้ออกจากร่างกาย ตามปกติแล้วสารนี้จะออกจากร่างกายเราได้หมดภายในสองวัน ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญก็จะแปลงผลการตรวจส่งให้แพทย์เพื่อการวินิจฉัยโรค ผลอาจพร้อมภายในเวลาสองวันทำการ และแพทย์ก็จะแจ้งผลการตรวจให้คุณทราบต่อไปข้อควรรู้เกี่ยวกับ PET
Positron Emission Tomography หรือ PET scan เป็นเทคนิคการถ่ายภาพทางการแพทย์ที่ช่วยให้แพทย์สามารถสังเกตได้ว่ากลูโคสและสารประกอบอื่น ๆ ถูกเผาผลาญในร่างกายอย่างไร ต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงสำคัญบางประการเกี่ยวกับการสแกน PET:- หลักการของการถ่ายภาพ PET:
-
-
- การสแกน PET เกี่ยวข้องกับการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีจำนวนเล็กน้อย (โดยปกติจะอยู่ในรูปของกลูโคส) เข้าไปในร่างกาย สารนี้จะปล่อยโพซิตรอนซึ่งตรวจพบโดยเครื่องสแกน PET
-
- การตรวจจับการสลายตัวของสารกัมมันตภาพรังสี:
-
-
- เมื่อโพซิตรอนที่ปล่อยออกมาจากสารกัมมันตภาพรังสีสัมผัสกับอิเล็กตรอนในร่างกาย พวกมันจะทำลายล้างซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดรังสีแกมมา เครื่องสแกน PET จะตรวจจับรังสีแกมมาเหล่านี้และใช้ข้อมูลเพื่อสร้างภาพที่มีรายละเอียดของโครงสร้างภายในและการทำงานของอวัยวะต่างๆ
-
- กิจกรรมการเผาผลาญ:
-
-
- การสแกน PET มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการประเมินกิจกรรมการเผาผลาญ เนื่องจากสารที่ฉีดมักจะอยู่ในรูปแบบหนึ่งของกลูโคส การสแกนจึงเน้นบริเวณที่มีกิจกรรมการเผาผลาญสูง เช่น เนื้องอก ซึ่งมักจะใช้กลูโคสมากกว่าเนื้อเยื่อโดยรอบ
-
- การวินิจฉัยและระยะมะเร็ง:
-
-
- การสแกน PET มักใช้ในด้านเนื้องอกวิทยาเพื่อตรวจหาและระยะของมะเร็งชนิดต่างๆ สามารถช่วยระบุตำแหน่งและขอบเขตของการเจริญเติบโตของมะเร็ง ช่วยในการวางแผนและติดตามการรักษา
-
- การใช้งานทางระบบประสาท:
-
-
- การสแกน PET ใช้ในประสาทวิทยาเพื่อศึกษาการทำงานของสมองและตรวจหาความผิดปกติ มีประโยชน์ในการวินิจฉัยภาวะต่างๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคลมบ้าหมู และเนื้องอกบางชนิด
-
- การถ่ายภาพหัวใจ:
-
-
- การสแกน PET สามารถประเมินการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจและระบุบริเวณที่มีการไหลเวียนไม่ดี ข้อมูลนี้มีความสำคัญในการประเมินสภาวะหัวใจและหลอดเลือดและแนวทางการแทรกแซง เช่น การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
-
- การวิจัยและพัฒนายา:
-
-
- การถ่ายภาพด้วย PET มีบทบาทสำคัญในการวิจัยทางการแพทย์และการพัฒนายา นักวิจัยใช้การสแกน PET เพื่อศึกษาผลกระทบของยาใหม่ต่ออวัยวะต่างๆ และกระบวนการเผาผลาญ
-
- การได้รับรังสี:
-
-
- การสแกน PET เกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับรังสีไอออไนซ์เนื่องจากการใช้ตัวติดตามกัมมันตภาพรังสี ปริมาณรังสีถือว่าปลอดภัยสำหรับวัตถุประสงค์ในการวินิจฉัย แต่โดยทั่วไปสตรีมีครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการสแกน PET เว้นแต่จำเป็นจริงๆ
-
- ใช้ร่วมกับ CT หรือ MRI:
-
-
- การสแกน PET มักใช้ร่วมกับการสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) หรือการสแกนด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI) เพื่อให้ข้อมูลทั้งทางกายวิภาคและการทำงาน การรวมกันนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยและการวางแผนการรักษา
-
- การเตรียมผู้ป่วย:
-
- ก่อนการสแกน PET ผู้ป่วยมักจะได้รับคำสั่งให้อดอาหารในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดสูงอาจรบกวนการตรวจจับสารกัมมันตภาพรังสีที่ฉีดเข้าไป
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/conditions/pet-scan/
- https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/pet-scan/about/pac-20385078
- https://medlineplus.gov/ency/article/003827.htm
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น