Metabolism คืออะไร
ระบบเผาผลาญ (Metabolism) คือ กระบวนการทางเคมีที่ช่วยทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ อัตราการเผาผลาญพลังงานนั้นขึ้นอยู่แต่ละบุคคล บางคนระบบเผาผลาญไม่ดี ช้าก็อาจทำให้มีแคลลอรี่หลงเหลืออยู่มาก และก็นำไปเก็บสะสมไว้เป็นไขมันแทน ในทางตรงข้ามกัน คนที่มีระบบเผาผลาญดี เร็วก็จะเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากและเหลือสะสมเป็นไขมันได้น้อยกว่า ในบทความนี้จะอธิบายว่าทำไมบางคนถึงมีระบบการเผาผลาญที่เร็ว และเราสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญในการเผาไหม้แคลลอรี่ได้อย่างไรระบบเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึม
เมตาบอลิซึม หรือระบบการเผาผลาญคือกระบวนการทางเคมีในร่างกายของเรา เมื่อมีระบบเผาผลาญเร็ว ร่างกายก็ต้องการแคลลอรี่มากขึ้นด้วย ระบบเผาผลาญคือเหตุผลว่าทำไมบางคนรับประทานเยอะแต่น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น ความเร็วของระบบการเผาผลาญคือที่รู้กันดีว่าอัตราการเผาผลาญพลังงาน เป็นจำนวนแคลลอรี่ที่ถูกเผาผลาญในแต่ละครั้งที่เรียกว่า พลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ อัตราการเผาผลาญสามารถแบ่งออกเป็นประเภทดังต่อไปนี้:- อัตราการความต้องการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน (BMR): คืออัตราการเผาผลาญในระหว่างนอนหรือการนอนหลับลึก เป็นการเผาผลาญอัตราต่ำสุดที่ร่างกายต้องการเพื่อรักษาจังหวะการหายใจของปอด การปั้มหัวใจ กระบวนการคิดและรักษาร่างกายให้อบอุ่น
- อัตราการเผาผลาญของร่างกายขณะพักผ่อน (RMR): คืออัตราการเผาผลาญต่ำสุดที่ต้องการมีไว้เพื่อทำให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อได้และเพื่อการทำงานต่างๆในขณะพักผ่อน ซึ่งใช้มากถึง 50-75% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน
- พลังงานที่ใช้ในการย่อยอาหาร (TEF): คือจำนวนแคลลอรี่ที่มีการเผาไหม้ในขณะที่ร่างกายมีการย่อยอาหารและกระบวนการของอาหาร TEFมักใช้ราว 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายใช้ในแต่ละวัน
- พลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย (TEE): คือการเพิ่มการเผาผลาญแคลลอรี่ในระหว่างการออกกำลังกาย
- การเผาผลาญโดยไม่ต้องออกกำลังกาย (NEAT): คือจำนวนแคลลอรี่ที่ต้องการในการทำกิจกรรมอื่นไมากกว่าการออกกำลังกาย ที่รวมไปถึงการไม่อยู่เฉยๆ การเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ การลุกขึ้นยืนและการเดินไปรอบๆ
ปัจจัยที่มีส่วนช่วยในกระบวนการเมตาบอลิซึม
มีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่ออัตราการเผาผลาญได้ เช่น:- อายุ: เมื่อายุเพิ่มมากขึ้น อัตราการเผาผลาญก็จะเริ่มลดน้อยลง นั้นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงมีแนวโน้มจะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเมื่อายุมากขึ้น
- มวลกล้ามเนื้อ: เมื่อมีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้นก็จะยิ่งเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากขึ้น
- ขนาดของร่างกาย: ร่างกายที่ใหญ่กว่าก็จะเผาผลาญได้มากกว่า
- อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อม: เมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศที่หนาวเย็น จะมีการเผาผลาญแคลลอรี่ได้มากกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำเกินไป
- กิจกรรมทางร่างกาย: การเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหมดจำเป็นต้องใช้แคลลอรี่ ยิ่งทำกิจกรรมมากเท่าไนก็ยิ่งมีการเผาผลาญมากเท่านั้น
- โรคเกี่ยวกับฮอร์โมน: โรคคุชชิงและโรคไฮโปไทรอยด์จะทำให้อัตราการเผาผลาญลดลง และเพิ่มความเสี่ยงให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
โหมดประหยัดพลังงานคืออะไร
ระบบเผาผลาญสามารถปรับตัวเองได้ อย่างที่รู้กันว่าเป็นการปรับเพื่อรักษาร่างกายหรือที่เรียกว่า “โหมดประหยัดพลังงาน” ซึ่งอาจมีบทบาทที่สำคัญในการเกิดโรคอ้วน โหมดประหยัดพลังงานคือ การตอบสนองของร่างกายกับการรับประทานอาหารให้น้อยกว่าพลังงานที่ใช้ออกไป เมื่อร่างกายได้รับอาหารไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะพยายามชดเชยด้วยการลดอัตราการการเผาผลาญพลังงานในร่างกายและจำนวนการเผาไหม้แคลลอรี่ลง ขอบเขตของอัตราการเผาผลาญที่ลดลงในระหว่างการจำกัดพลังงาน และลดน้ำหนักจะสูงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เมื่อการเผาผลาญลดลงคือจะเห็นชัดในบางคน โดยเฉพาะคนที่มีภาวะโรคอ้วน ยิ่งลดลงมากขึ้นก็ยิ่งทำให้มันยิ่งยากในการลดน้ำหนักหรืออดอาหารเมื่อระบบการเผาผลาญพลังงานมากขึ้นจะช่วยลดน้ำหนักได้หรือไม่
การลดน้ำหนักไม่ใช่เพียงแค่การรับประทานอาหารที่มีแคลลอรี่น้อยเท่านั้น ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักอาจรวมไปถึงการเพิ่มอัตราการเผาผลาญด้วย ต่อไปนี้คือ 8 วิธีง่ายๆในการเพิ่มการเผาผลาญ1. เคลื่อนไหวร่างกายเสมอ
ทุกๆการเคลื่อนไหวต้องใช้แคลลอรี่ ยิ่งมีการเคลื่นไหวมากเท่าไรอัตราการเผาผลาญก็จะเพิ่มมากขึ้น แม้จะเป็นเพียงแค่กิจกรรมพื้นฐานง่ายๆก็ตามเช่น การลุกขึ้นยืนบ่อยๆ การเดินไปรอบๆหรือการทำงานบ้าน วิ่งยาวๆ การเสริมสร้างอัตราการเผาผลาญคือเทคนิคที่เรียกว่า การเผาผลาญโดยไม่ต้องออกกำลังกาย (NEAT) มีหลายวิธีที่จะช่วยสร้างการเผาผลาญโดยไม่ต้องออกกำลังกาย (NEAT) หากคุณใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่กับที่ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้:- ลุกขึ้นยืนบ่อยๆและเดินไปรอบๆ
- เดินขึ้นบันไดทุกครั้งที่เป็นไปได้
- ทำงานบ้าน
- ไม่อยู่นิ่งด้วยการขยับขาหรือเคาะนิ้ว
- เคี้ยวหมากฝรั่งปราศจากแคลลอรี่
- ทำงานด้วยโต๊ะแบบยืน
2. การออกกำลังกายแบบหนักหน่วง
หนึ่งในการออกกำลังกายที่มีประสิทธิผลอย่างหนึ่งคือการออกกำลังแบบหนัก หรือที่รู้จักกันดีว่า การออกกำลังที่มีความเข้มข้นสูง (HIIT) HIIT คือการออกกำลังกายแบบเร็วและเข้มข้น เช่น การวิ่งเร็วๆหรือการวิดพื้นเร็วๆ เพื่อเป็นการเร่งการเผาผลาญ เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วร่างกายจะยังคงส่งผล “ให้การเผาผลาญสูงคงอยู่หลังการออกกำลัง”3. การฝึกกล้ามเนื้อ
เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเร่งอัตราการเผาผลาญก็คือการฝึกกล้ามเนื้อ จำนวนกล้ามเนื้อที่คุณมีมีผลโดยตรงกับอัตราการเผาผลาญของคุณ ไม่เหมือนมวลไขมัน มวลกล้ามเนื้อจะเพิ่มการเผาผลาญแคลลอรี่ในขณะพักผ่อนได้ เมื่อเราอายุมาากขึ้นกล้ามเนื้อของเราก็จะเริ่มหายไป และทำให้อัตราการเผาผลาญลดต่ำลง แต่การออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอสามารถส่งผลให้ดีได้4. รับประทานโปรตีน
การรับประทานโปรตีนที่เหมาะสมคือสิ่งที่จำเป็นที่เราต้องการเพื่อเสริมสร้าง และรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ แต่การรับประทานโปรตีนยังมีผลดีที่สำคัญอื่นๆอีกด้วย อาหารทุกอย่างสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ชั่วคราว แต่การรับประทานโปรตีนส่งผลที่ดีได้มากกว่าการทานคาร์บหรือไขมัน TEF จะพุ่งสูงในตอนเช้าและในช่วงระหว่างสองสามชั่วโมงแรกหลังตื่นนอน เพราะเหตุผลนี้เอง การเลือกรับประทานอาหารในปริมาณมากในช่วงเช้าของวันจึงส่งผลดีได้มากกว่า5. อย่าปล่อยให้ตัวเองอดอาหาร
ในขณะที่การรับประทานน้อยคือกุญแจที่สำคัญในการลดน้ำหนัก แต่การกินน้อยเกินไปมักจะส่งผลเสียในระยะยาวได้ นั่นเป็นเพราะการจำกัดพลังงานเป็นสาเหตุทำให้อัตราการเผาผลาญลดลง ผลกระทบนี้มาจากการเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน หรือการปรับตัวของการเผาผลาญ เพื่อไม่ให้ร่างกายอดอาหารและเสียชีวิต6. การดื่มน้ำ
การเสริมสร้างอัตราการเผาผลาญชั่วคราวนั้นไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นเรื่องง่ายมากเพียงแค่ลุกเดินไปหยิบน้ำเย็นดื่มเท่านั้นเอง หลายการศึกษาแสดงให้เห็นว่าการดื่มน้ำอาจนำไปสู่การเผาผลาญที่เพิ่มมากขึ้น การดื่มน้ำเย็นส่งผลได้ดีกว่าการดื่มน้ำอุ่น เพราะร่างกายต้องการสร้างความอบอุ่นเพื่อคงอุณหภูมิของร่างกาย คุณสามารถได้ประโยชน์สูงสุดได้ด้วยการดื่มน้ำก่อนมื้ออาหาร เพื่อทำให้รู้สึกอิ่มและลดจำนวนแคลลอรี่ที่จะรับประทานเข้าไปได้7. ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
ถึงแม้การดื่มน้ำเปล่าจะดีต่อร่างกาย แต่การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แคลลอรี่ต่ำ เช่น กาแฟหรือชาเขียวก็มีประโยชน์เช่นกัน จากการศึกษาแบบควบคุมแสดงให้เห็นว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสามารถเร่งอัตราการเผาผลาญชั่วคราวได้ 3-11% แต่อย่างไรก็ตามผลที่ได้นี้มีน้อยในคนที่เป็นโรคอ้วน และผู้สูงอายุ8. นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนไม่พอเพียงไม่ใช่แค่แย่ต่อสุขภาพอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังไปลดอัตราการเผาผลาญ และเพิ่มความเสี่ยงให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นด้วย จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าอัตราการเผาผลาญลดลง 2.6% ในผู้ใหญ่ที่นอนได้เพียง 4 ชั่วโมงต่อคืนในช่วง5วัน การนอนไม่พอเพียงมีส่วนทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเราจะเพิ่มการเผาผลาญได้อย่างไร
การเพิ่มการเผาผลาญเกี่ยวข้องกับการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตที่สามารถช่วยให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์หลายประการที่อาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญของคุณ:- สร้างกล้ามเนื้อ:
-
-
- เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อจะเผาผลาญแคลอรี่ในช่วงที่เหลือมากกว่าเนื้อเยื่อไขมัน ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแกร่งอย่างน้อยสัปดาห์ละสองถึงสามครั้งเพื่อสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ
-
- แอคทีฟอยู่ตลอดทั้งวัน:
-
-
- รวมการออกกำลังกายเข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณ หยุดพักสั้นๆ เพื่อยืดเส้นยืดสายหรือเดิน ใช้บันไดแทนลิฟต์ และหาโอกาสเคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน
-
- การออกกำลังกายความเข้มสูง (HIIT):
-
-
- HIIT เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายอย่างหนักช่วงสั้นๆ ตามด้วยช่วงพักหรือกิจกรรมที่มีความเข้มข้นต่ำลง การฝึกประเภทนี้จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่และปรับปรุงอัตราการเผาผลาญได้
-
- กินอาหารที่มีโปรตีนสูง:
-
-
- โปรตีนต้องการพลังงานในการย่อยมากกว่าเมื่อเทียบกับไขมันและคาร์โบไฮเดรต รวมแหล่งโปรตีนไร้ไขมัน เช่น ไก่ ปลา ถั่ว และเต้าหู้ในมื้ออาหารของคุณ
-
- รักษาความชุ่มชื้น:
-
-
- การดื่มน้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพโดยรวม และการดื่มน้ำให้เพียงพออาจช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการเผาผลาญอาหารด้วย
-
- ชาเขียว:
-
-
- ชาเขียวมีสารประกอบเช่นคาเทชินซึ่งอาจส่งผลต่อการเผาผลาญเล็กน้อย การดื่มชาเขียวสามารถเป็นส่วนเสริมที่ดีต่อสุขภาพในกิจวัตรประจำวันของคุณได้
-
- นอนหลับให้เพียงพอ:
-
-
- การอดนอนอาจส่งผลเสียต่อการเผาผลาญและความสมดุลของฮอร์โมน ตั้งเป้าการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืน
-
- กินอาหารรสเผ็ด:
-
-
- เครื่องเทศ เช่น พริก มีแคปไซซิน ซึ่งอาจกระตุ้นการเผาผลาญชั่วคราวและเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่
-
- ดื่มกาแฟ:
-
-
- คาเฟอีนที่พบในกาแฟสามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม, ผลกระทบของมันอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล.
-
- รับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ บ่อยครั้ง:
-
-
- การบริโภคอาหารมื้อเล็กๆ ที่สมดุลตลอดทั้งวันสามารถช่วยให้ระบบเผาผลาญของคุณทำงานได้ หลีกเลี่ยงเป็นเวลานานโดยไม่รับประทานอาหาร
-
- รวมไฟเบอร์ในอาหารของคุณ:
-
-
- อาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผลไม้ ผัก และธัญพืชไม่ขัดสีสามารถช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มและอิ่มใจ และอาจป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินไปได้
-
- อย่าข้ามมื้ออาหาร:
-
-
- มื้ออาหารและของว่างเป็นประจำช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่และป้องกันไม่ให้ร่างกายเข้าสู่ “โหมดอดอาหาร” ซึ่งอาจชะลอการเผาผลาญได้
-
- พิจารณาอาหารเสริมที่ส่งเสริมการเผาผลาญ:
-
-
- อาหารเสริมบางชนิด เช่น อาหารเสริมที่มีสารสกัดจากชาเขียว อาจมีการวางตลาดเป็นสารกระตุ้นการเผาผลาญ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
-
- จัดการความเครียด:
-
- ความเครียดเรื้อรังอาจส่งผลต่อฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการเผาผลาญ รวมกิจกรรมลดความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการฝึกหายใจเข้าลึกๆ ไว้ในกิจวัตรของคุณ
ประเด็นสำคัญ
ถึงแม้อัตราการเผาผลาญพื้นฐานของเราจะอยู่นอกเหนือการควบคุทได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถช่วยเพิ่มจำนวนการเผาไหม้แคลลอรี่ได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวในบทความนี้สามารถช่วยเสริมสร้างการเผาผลาญได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเผาผลาญไม่ใช่ทุกสิ่งเพื่อการลดน้ำหนัก สิ่งที่จำเป็นจริงๆคือการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมีความสมดุลนี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
- https://www.nhs.uk/live-well/healthy-weight/metabolism-and-weight-loss/
- https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/weight-loss/in-depth/metabolism/art-20046508
- https://www.webmd.com/diet/ss/slideshow-boost-your-metabolism
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น