ภาวะปวดประจำเดือนคืออะไร
ปวดประจำเดือน (Menstruation Pain) เมนส์หรือประจำเดือนคือ การที่มีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นปกติตามรอบเดือนเป็นประจำ ผู้หญิงหลายคนมักมีอาการปวดประจำเดือนที่เรียกกันว่าปวดท้องเมนส์ อาการปวดโดยมากของอาการปวดท้องประจำเดือนมักรู้สึกปวดตุ๊บๆ ปวดบีบที่บริเวณท้องส่วนล่าง และอาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยเช่น ปวดแผ่นหลังช่วงล่าง คลื่นไส้ ท้องเสีย และปวดศีรษะ อาการปวดประจำเดือนต่างจากอาการอารมณ์เหวี่ยงก่อนมีประจำเดือน (PMS) อาการ PMS เป็นสาเหตุของอาการที่แตกต่างออกไปเช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ตัวบวม หงุดหงิด และเหนื่อยล้า อาการ PMS มักเริ่มมีอาการหนึ่งหรือสองสัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน
สาเหตุของอาการปวดประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิและอาการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ ซึ่งแต่ละประเภทมีสาเหตุที่แตกต่างกัน
การปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea)
คืออาการปวดประจำเดือนทั่วไป การปวดประจำเดือนชนิดนี้ไม่มีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ สาเหตุปกติของอาการปวดประจำเดือนชนิดนี้คือการมีสารโปรสตาแกลนดินส์มากเกิดไป ซึ่งเป็นสารเคมีที่สร้างโดยมดลูกเอง สารเคมีชนิดนี้จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกเกร็งและคลาย เป็นสาเหตุของการบีบตัวของมดลูก
อาการปวดจะเริ่มมีอาการหนึ่งหรือสองวันก่อนมีประจำเดือน และตามปกติแล้วจะมีอาการไปอีกสองสามวัน แต่ในผู้หญิงบางคนอาจมีอาการนานกว่านั้น
ตามปกติแล้วนั้นอาการปวดประจำเดือนมักเป็นในช่วงอายุน้อย เพิ่งเริ่มมีประจำเดือนในช่วงแรก และเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นอาการปวดก็จะเริ่มน้อยลง และอาการปวดประจำเดือนจะดีขึ้นหลังจากมีการคลอดบุตร
การปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ
การปวดประจำเดือนนี้มักเกิดขึ้นในช่วงวัยกลางคน ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆที่ส่งผลต่อมดลูก หรือจากระบบสืบพันธุ์อื่นๆ เช่นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และเนื้องอกมดลูก อาการปวดลักษณะดังกล่าวอาการจะแย่ลงเรื่อยๆ อาจเริ่มตั้งแต่ก่อนมีประจำเดือนและมีอาการเรื่อยไปจนช่วงหมดประจำเดือน
คุณอาจหาซื้อยาบรรเทาอาการปวดที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปได้เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบกลุ่มยา NSAIDs ยา NSAIDs คือยาที่ไปช่วยลดจำนวนสารโปรสตาแกลนดินส์ที่มดลูกสร้างลง ทำให้ส่งผลกระทบน้อยลง ช่วยให้การบีบตัวลดลง คุณสามารถใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มมีอาการหรือเมื่อเริ่มมีประจำเดือน และสามารถรับประทานต่อเนื่องไปได้อีกสองสามวัน คุณไม่ควรรับประทานยากลุ่ม NSAIDs หากคุณมีแผลหรือมีปัญหาอื่นๆเกี่ยวกับช่องท้อง มีปัญหาเลือดออกหรือเป็นโรคตับ และคนที่allergy-0094/”>แพ้ยาแอสไพริน หากไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ว่าควรใช้หรือไม่อย่างไร
สิ่งที่สามารถช่วยเพิ่มเติมได้คือการพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
ปวดประจำเดือนขนาดไหนที่ควรไปพบแพทย์
อาการปวดประจำเดือนถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้หญิงทุกคน แต่อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์หากพบว่ามีอาการดังต่อไปนี้
- การรับประทานยากลุ่ม NSAIDs และการดูแลตัวเองขั้นต้นไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้
- อาการปวดเกร็งเริ่มแย่ลง
- คุณมีอายุเกิน 25 ปี และเพิ่งเคยมีอาการปวดท้องเกร็งที่รุนแรงเป็นครั้งแรก
- มีไข้ในระหว่างปวดประจำเดือน
- มีอาการปวดในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
อาการปวดประจำเดือนสามารถวินิจฉัยได้อย่างไร
การวินิจฉัยอาการปวดท้องประจำเดือนมากและรุนแรง แพทย์จะสอบถามประวิติโรคประจำตัวและทำการตรวจภายใน อาจตรวจด้วยอัลตราซาว์นหรือการถ่ายภาพรูปแบบอื่นๆ หากแพทย์สงสัยว่าคุณกำลังมีอาการปวดประจำเดือนชนิดทุติยภูมิ แพทย์อาจสั่งตรวจด้วยการผ่าตัดผ่านกล้อง การผ่าตัดรูปแบบนี้จะช่วยทำให้แพทย์สามารถเห็นภาพภายในร่างกายของผู้ป่วยได้ชัดเจนมากขึ้น
การรักษาอาการปวดประจำเดือนรุนแรงได้อย่างไร
หากผู้ป่วยมีอาการปวดประจำเดือนชนิดปฐมภูมิและมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา แพทย์อาจจะแนะนำให้รับประทานยาคุมกำเนิด เช่นยาคุมกำเนิดชนิดเม็ด ชนิดแปะ หากผู้ป่วยมีอาการปวดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ การรักษาจะขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุของอาการ ในบางรายอาจมีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนคุณอาจลองทำสิ่งดังต่อไปนี้
-
ใช้แผ่นประคบร้อนหรือขวดน้ำร้อนวางบนบริเวณหน้าท้อง
-
ออกกำลังกาย
-
อาบน้ำร้อน
-
ใช้เทคนิคผ่อนคลาย เช่นการเล่นโยคะและการทำสมาธิ
แก้ปัญหาปวดประจำเดือนด้วยวิธีธรรมชาติ
ต่อไปนี้เป็นวิธีการรักษาแบบธรรมชาติที่ควรพิจารณา:-
การบำบัดด้วยความร้อน:
-
-
- การประคบร้อนที่ช่องท้องส่วนล่างสามารถช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ ใช้แผ่นทำความร้อน ขวดน้ำร้อน หรืออ่างน้ำอุ่นเพื่อบรรเทาอาการ
-
-
ชาสมุนไพร:
-
การปรับเปลี่ยนอาหาร:
-
-
- รักษาสมดุลอาหารโดยเน้นที่อาหารทั้งส่วน เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไร้มัน การลดการบริโภคอาหารแปรรูป น้ำตาล และคาเฟอีนอาจช่วยจัดการกับอาการอักเสบและความไม่สมดุลของฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้
-
-
ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ:
-
-
- การมีน้ำเพียงพอสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและการกักเก็บน้ำได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงมีประจำเดือน ดื่มน้ำและชาสมุนไพรปริมาณมากตลอดทั้งวัน
-
-
กรดไขมันโอเมก้า 3:
-
-
- อาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาที่มีไขมัน (ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล) เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย และวอลนัท อาจช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
-
-
ออกกำลังกาย:
-
-
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดความรุนแรงของอาการปวดประจำเดือนได้ กิจกรรมต่างๆ เช่น การเดิน โยคะ และว่ายน้ำเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้
-
-
เทคนิคจิตใจและร่างกาย:
-
-
- การปฏิบัติต่างๆ เช่น การหายใจลึกๆ การผ่อนคลาย และการทำสมาธิสามารถช่วยจัดการกับความเครียด ซึ่งอาจทำให้อาการปวดประจำเดือนรุนแรงขึ้นได้ การลดระดับความเครียดอาจทำให้เกิดตะคริวที่รุนแรงน้อยลง
-
-
การฝังเข็มและการกดจุด:
-
-
- บุคคลบางคนสามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ด้วยการฝังเข็มหรือการกดจุด เชื่อกันว่าการปฏิบัติเหล่านี้ช่วยปรับสมดุลการไหลเวียนพลังงานของร่างกาย
-
-
น้ำมันหอมระเหย:
-
-
- น้ำมันหอมระเหย เช่น ลาเวนเดอร์ คลารีเสจ และโรสแมรี่ อาจมีคุณสมบัติผ่อนคลายเมื่อใช้ในอโรมาเธอราพี เจือจางน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดในน้ำมันตัวพาแล้วนวดลงบนช่องท้องส่วนล่าง
-
-
ตงกุย (Angelica sinensis):
-
-
- ตงกุยเป็นสมุนไพรที่นิยมใช้ในการแพทย์แผนจีนเพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรก่อนใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีภาวะสุขภาพพื้นฐานหรือกำลังใช้ยาอยู่
-
-
อาหารเสริมวิตามิน:
-
- การศึกษาบางชิ้นแนะนำว่าอาหารเสริม เช่น วิตามินบี 1 (ไทอามีน) วิตามินบี 6 (ไพริดอกซิ) แมกนีเซียม และแคลเซียมอาจช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ปรึกษากับผู้ให้บริการด้านสุขภาพก่อนรับประทานอาหารเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับความต้องการของคุณ
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://medlineplus.gov/periodpain.html
-
https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/conditionsandtreatments/menstruation-pain-dysmenorrhoea
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team