ไลเคน พลานัส (Lichen Planus) คือการอักเสบเรื้อรังที่ก่อให้เกิดผื่นที่ผิวหนังซึ่งเกิดจากกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ยังไม่ทราบว่าทำไมจึงเกิด อาจเกิดจากปัจจัยหลายชนิด และแต่ละกรณีก็แตกต่างกันไป สิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุ เช่น
บางครั้งไลเคนพลานัส เกิดพร้อมกับโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดอื่นๆ แม้ว่ามันจะทำให้ไม่สุขสบายแต่ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงและไม่ติดต่อ
แต่มีภาวะที่หายากบางชนิดที่ร้ายแรงและเจ็บปวด รักษาโดยใช้ยาทาและยารับประทานเพื่อลดอาการ หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
อาการไลเคน พลานัส
อาการที่พบบ่อย เช่น
-
ผื่นหรือตุ่มนูนแบนสีม่วงคล้ำที่ผิวหนังหรืออวัยวะเพศ
-
เกิดผื่นและกระจายไปทั่วตัวเป็นระยะเวลานานหลายสัปดาห์หรือสองสามเดือน
-
คันบริเวณที่ผื่นขึ้น
-
มีแผลลวดลายคล้ายลูกไม้ในปาก ทำให้ปวดหรือปวดแสบปวดร้อน
-
มีตุ่มน้ำ และแตกเป็นแผลตกสะเก็ด
-
มีเส้นสีขาวบางๆเหนือบริเวณผื่น
ไลเคน พลานัสชนิดที่พบบ่อยมักเกิดที่ผิวหนัง เกิดอยู่หลายสัปดาห์ มีผื่นและกระจายไปทั่วตัว มักหายไปเองภายใน 6-16 เดือน บริเวณที่พบรองลงมานอกจากที่ผิวหนังหรือที่อวัยวะเพศ คือ
-
เยื่อบุผิว
-
เล็บ
-
หนังศีรษะ
โรคนี้พบมากในตะวันออกกลาง เอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
การรักษาโรคไลเคน พลานัส
ไลเคน พลานัสที่ไม่รุนแรงมักหายไปเองภายในหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ไม่จำเป็นต้องรักษา หากอาการทำให้ไม่สบายตัวหรือมีอาการรุนแรง แพทย์จะสั่งยาให้
ไม่มีการรักษาเฉพาะสำหรับโรคนี้ แต่ยาที่ใช้รักษาอาการช่วยได้มาก และบางครั้งยังรักษาที่สาเหตุได้ด้วย ยาที่แพทย์มักสั่งเช่น
-
retinoids ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ใช้ทาหรือกิน
-
ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ลดการอักเสบ ใช้ทา กิน หรือฉีด
-
antihistamines ลดการอักเสบและช่วยได้มากหากผื่นนั้นเกิดจากสารก่อภูมิแพ้
-
ครีมชนิดไม่มีสเตียรอยด์ ใช้ทาช่วยลดปฏิกิริยาภูมิแพ้และลดผื่น
-
การใช้แสงอัลตร้าไวโอเลต
การดูแลตนเองที่บ้าน
ดูแลตนเองได้ เช่น
- ไม่เกาที่บริเวณมีผื่น
- ประคบเย็นที่บริเวณผื่น
- ใช้ครีมทาแก้คันที่มีขายทั่วไป
ปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยามาใช้เอง เพื่อให้แน่ใจว่ายาที่ซื้อมาเองไม่มีผลต่อยาที่แพทย์สั่งให้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคไลเคน พลานัส
ไลเคนพลานัสเป็นภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่อาจส่งผลต่อเยื่อเมือก เล็บ และเส้นผมด้วย แม้ว่าโดยทั่วไปจะไม่ร้ายแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและไม่สบายต่างๆ สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้ได้ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นและข้อกังวลที่เกี่ยวข้องกับไลเคนพลานัส ได้แก่:- Hyperpigmentation หรือ Hypopigmentation : หลังจากผื่นจากไลเคนพลานัสหายไป อาจทิ้งรอยดำหรือจุดบนผิวหนังไว้ ซึ่งอาจใช้เวลานานจึงจะจางลงหรืออาจถาวรได้
- แผลเป็น : ในบางกรณี แผลไลเคนพลานัสอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นบนบริเวณผิวหนังที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการเสียดสีหรือระคายเคืองซ้ำๆ
- ส่งผลต่อหลอดอาหาร : ในบางกรณีที่พบไม่บ่อย ไลเคนพลานัสอาจส่งผลต่อหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการกลืนลำบาก และไม่สบายตัว
- การเปลี่ยนแปลงของเล็บ : ไลเคนพลานัสอาจส่งผลต่อเล็บ ทำให้เล็บเป็นร่อง ร่องหรือมีรูพรุน การมีส่วนร่วมของเล็บอย่างรุนแรงอาจทำให้เล็บหลุดได้
- ผมร่วง : ไลเคนพลานัสของหนังศีรษะหรือที่เรียกว่าไลเคนพลาโนพิลาริส อาจทำให้ผมร่วงและเป็นแผลเป็นที่รูขุมขนได้
- การติดเชื้อทุติยภูมิ : การเกาหรือแผลเปิดที่เกิดจากไลเคนพลานัสอาจทำให้บริเวณที่ได้รับผลกระทบเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราทุติยภูมิ
- ผลกระทบทางจิตวิทยา : สภาพผิวเรื้อรัง เช่น ไลเคนพลานัส อาจมีผลกระทบทางจิตอย่างมีนัยสำคัญต่อบุคคล ซึ่งนำไปสู่ความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า
- อาการไม่สบายเรื้อรัง : อาการคันและไม่สบายที่เกี่ยวข้องกับไลเคนพลานัสอาจเป็นอาการเรื้อรังและน่ารำคาญ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของบุคคล
- ความสัมพันธ์กับสภาวะอื่นๆ : ไลเคนพลานัสมีความเกี่ยวข้องกับสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ เช่น โรคไวรัสตับอักเสบซี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องติดตามและจัดการสภาวะที่อยู่ร่วมกันเหล่านี้
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/lichen-planus/symptoms-causes/syc-20351378
-
https://www.nhs.uk/conditions/lichen-planus/
-
https://www.medicalnewstoday.com/articles/184866
-
https://www.webmd.com/oral-health/oral-lichen-planus
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team