ปวดข้อ (Joint Pain) คืออาการปวดตามข้อต่อ ที่สามารถเกิดขึ้นได้จากโรคต่าง ๆ หรืออาการบาดเจ็บ รวมไปถึงอายุอาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคปวดข้อได้
ข้อต่อคือบริเวณที่กระดูกสองชิ้นมาเชื่อมต่อกัน ข้อต่อมีไว้เพื่อช่วยให้กระดูกแต่ละชิ้นสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว ข้อต่อมีอยู่ที่บริเวณ:
อาการปวดข้อทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว ปวดและเจ็บตรงบริเวณข้อต่อต่างๆของร่างกาย อาการปวดข้อเป็นอาการตามปกติไม่มีความจำเป็นต้องไปรักษาที่โรงพยาบาล
ในบางครั้งอาการปวดข้ออาจเป็นผลมาจากอาการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ โรคไขข้ออักเสบเป็นสาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อ แต่ก็ยังมีอีกหลายโรคหลายปัจจัยที่อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อได้
อาการปวดข้อ
ในบางราย อาการปวดข้ออาจต้องไปพบแพทย์ ควรไปพบแพทย์หากไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดข้อและอาจมีอาการอื่นที่ไม่สามารถอธิบายได้
ควรไปพบแพทย์เมื่อ:
-
บริเวณรอบๆข้อต่อมีการบวม แดง กดเจ็บหรือร้อนเมื่อสัมผัส
-
อาการปวดยังคงมีอยู่นาน 3วันหรือมากกว่านั้น
และควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้s:
-
มีการบาดเจ็บอย่างรุนแรง
-
ข้อต่อผิดรูป
-
มีการบวมของข้อต่ออย่างฉับพลัน
-
ข้อต่อติดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
-
มีอาการปวดข้ออย่างรุนแรง
สาเหตุของการปวดข้อ
โรคไขข้ออักเสบ
หนึ่งในสาเหตุหลักของการปวดข้อก็คือโรคไขข้ออักเสบ มีไขข้ออักเสบอยู่สองแบบใหญ่ๆคือโรคข้อเสื่อม (OA) และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA)
โรคข้ออักเสบ OA คือโรคที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป กระบวนการเกิดโรคจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆและส่งผลต่อข้อต่อเช่น:
-
ข้อมือ
-
มือ
-
ข้อต่อ
-
เข่า
อาการปวดข้อจากโรค OA เป็นผลมาจากการแตกของกระดูกอ่อนที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนนวมและโช๊คอัพสำหรับข้อต่อ
โรคไขข้ออีกแบบคือแบบ RA มักส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
จากสาเหตุอื่น
อาการปวดข้ออาจมีสาเหตุมาจาก:
-
โรคเบอร์ไซติส หรือการอักเสบของถุงน้ำกันเสียดสีที่อยู่รอบๆข้อต่อ
-
โรคติดเชื้อเช่น คางทูม ไข้หวัดใหญ่และตับอักเสบ
-
โรคผิวสะบ้าอักเสบ หรือการสลายตัวของกระดูกอ่อนในกระดูกสะบ้าหัวเข่า
-
การบาดเจ็บ
-
มีการติดเชื้อที่กระดูกหรือข้อต่อ
-
มีการใช้ข้อต่อมากเกินไป
-
โรคมะเร็ง
-
โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ทำให้ปวดกล้ามเนื้อ
-
โรคซาร์คอยโดซิส
-
โรคกระดูกอ่อน
การวินิจฉัยอาการปวดข้อ
แพทย์อาจตรวจร่างกาย และถามคำถามเกี่ยวกับอาการปวดข้อที่เป็น เพื่อจำกัดหาสาเหตุที่อาจทำให้เกิดอาการ
ถ้าจำเป็นอาจมีการตรวจด้วยการเอกซเรย์ เพื่อระบุข้อต่ออักเสบที่เสียหาย
หากแพทย์สงสัยว่าอาจมาจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจขอตรวจเลือดเพื่อดูว่าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ แพทย์อาจจะขอตรวจ sedimentation rate test คือการวัดการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง เพื่อดูระดับการอักเสบในร่างกายหรือตรวจค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
การรักษาอาการปวดข้อ
การดูแลตัวเองที่บ้าน
แพทย์ยกให้โรค OA และ RA เป็นโรคเรื้อรัง ไม่มีวิธีใดที่จะรักษาอาการปวดข้อให้หายขาดหรือทำให้ไม่กลับมาเป็นอีกได้ แต่เรามีวิธีจัดการกับการปวดได้โดย:
-
ใช้ยาบรรเทาปวดชนิดทาบนผิวหนัง หรือรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการปวด บวมและอักเสบ
-
ออกกำลังกายสม่ำเสมอและออกกำลังกายในระดับปานกลาง.
-
มีการยืดเส้นก่อนการออกกำลังกายเพื่อให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
-
ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่เกณฑ์สุขภาพที่ดี เพื่อลดแรงให้ข้อต่อ
-
ถ้าการปวดไม่ได้มาจากโรคข้ออักเสบ อาจหาซื้อยาลดการอักเสบทานเองได้ ด้วยการนวด อาบน้ำอุ่น ยืดเส้นบ่อยๆและมีการพักผ่อนที่เพียงพอ
การรักษาทางการแพทย์
การรักษาอาการปวดข้อขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล ในบางกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อหรือโรคอัตโนมัติ เช่น โรคเริ่มต้นรูมาตอยด์ (RA) แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ ในที่นี้ Movita และ Wellgo เป็นตัวเลือกที่อาจถูกแนะนำ: – Movita เป็นอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบจากสารสกัดจากพืชต่าง ๆ เช่น ขมิ้นชัน ข้าวโพดสีม่วง ฯลฯ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดอาการปวดข้ออักเสบได้ – Wellgo เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากสารสกัดจากหอยทาก เช่น กรดฮิยาลูโรนิก ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดอาการปวดและอักเสบของข้ออักเสบได้ อย่างไรก็ตาม สำคัญที่สุดคือให้คำปรึกษาและคำแนะนำจากแพทย์ ตรงกับสถานะและอาการของคุณ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและแนะนำการรักษาที่เหมาะสมกับคุณได้เป็นอย่างดี การรักษาในระยะแรกและการตรวจสอบเจอตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นภาวะแทรกซ้อนของอาการปวดข้อ
อาการปวดข้ออาจเป็นสัญญาณของโรคประจำตัวต่างๆ และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนได้หากไม่ได้รับการจัดการหรือรักษาอย่างเหมาะสม ต่อไปนี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอาการปวดข้อ:- การเคลื่อนไหวลดลง:อาการปวดข้ออย่างต่อเนื่องสามารถจำกัดความสามารถในการเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมในแต่ละวัน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของคุณลดลง
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง:เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ข้อต่อที่เจ็บปวด ผู้คนอาจเผลอไปสนใจด้านใดด้านหนึ่งของร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจหรือใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นมากเกินไป สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและความไม่สมดุล
- การสูญเสียการทำงานของข้อต่อ:อาการปวดข้อที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้สูญเสียการทำงานของข้อต่ออย่างค่อยเป็นค่อยไป และอาจส่งผลให้ข้อต่อที่ได้รับผลกระทบลดระยะการเคลื่อนไหวลง
- อาการปวดเรื้อรัง:หากไม่ได้รับการแก้ไขที่สาเหตุของอาการปวดข้อ อาจกลายเป็นภาวะเรื้อรัง ทำให้เกิดอาการไม่สบายและปวดในระยะยาว
- ความผิดปกติของข้อต่อ:สภาวะบางอย่างเช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์สามารถนำไปสู่ความผิดปกติของข้อต่อได้หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ความผิดปกติเหล่านี้สามารถปิดการใช้งานได้
- ปัญหาสุขภาพจิต:อาการปวดเรื้อรัง รวมถึงอาการปวดข้อ สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น อาการซึมเศร้าและวิตกกังวล เนื่องจากส่งผลต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่โดยรวมของบุคคล
- ผลข้างเคียงจากยา:ยาบางชนิดที่ใช้จัดการกับอาการปวดข้อ เช่น ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) หรือฝิ่น อาจมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่ปฏิบัติตามที่กำหนด
- การติดเชื้อ:ในบางกรณี อาการปวดข้ออาจเกิดจากการติดเชื้อในข้อต่อที่เรียกว่า โรคข้ออักเสบติดเชื้อ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนร้ายแรง รวมถึงความเสียหายของข้อต่อ
- ความเสียหายของกระดูก:ในสภาวะเช่นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การอักเสบของข้อต่ออย่างต่อเนื่องสามารถทำลายกระดูกที่อยู่ด้านล่าง นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเพิ่มเติม
- ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด:ภาวะบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อ เช่น โรคลูปัส erythematosus (SLE) อาจส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา
- การกดทับเส้นประสาท:การบวมและอักเสบของข้อต่อสามารถกดดันเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียง ทำให้เกิดอาการชา รู้สึกเสียวซ่า หรือแม้แต่ความเสียหายของเส้นประสาท
นี่คือแหล่งที่มาในบทความของเรา
-
https://www.webmd.com/pain-management/guide/joint-pain
-
https://www.nhs.uk/conditions/joint-pain/
-
https://www.mayoclinic.org/symptoms/joint-pain/basics/causes/sym-20050668
-
https://medlineplus.gov/ency/article/003261.htm
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team