ปวดตา

ปวดตา (Eyepain) คือความเจ็บปวดในดวงตา ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติสำหรับคนทั่วไป แต่มันอาจจะเป็นอาการที่ร้ายแรงขึ้นได้ โดยปกติแล้วอาการปวดตารักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา อาการปวดตาเรียกในทางศัพท์เทคนิคว่า ophthalmalgia อาการปวดตานั้นอาจจะมีอาการปวดแค่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างก็ได้ แล้วแต่อาการที่ปรากฎ  อาการปวดตาที่เกิดจากการระคายเคือง อาจจะมีการคัน แสบร้อน หรือรู้สึกปวดตา อาการปวดตานี้มักจะมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในดวงตา การติดเชื้อ หรือการเจ็บปวด ซึ่งอาการปวดตาแบบนี้ มักจะรักษาได้โดยการหยอดยาที่ตา และการพักผ่อนให้เพียงพอ อาการปวดตาที่เกิดขึ้นลึกไปกว่านั้น อาจมีอาการปวดที่รุนแรง หรือมีทรายเข้าตา ดวงตาถูกทำร้าย หรือมีการสั่นสะเทือนของดวงตา อาการปวดตาประเภทนี้จำเป็นต้องใช้การรักษาในเชิงที่ลึกขึ้น  อาการปวดตาที่เกิดจากการสูญเสียการมองเห็น อาจจะเป็นอาการที่ต้องรักษาโดยด่วน: ควรไปพบจักษุแพทย์โดยทันที ถ้าคุณมีการสูญเสียการมองเห็นในขณะที่คุณปวดตา ปวดตา (Eyepain)

อาการปวดตาเกิดจากอะไร

อาการต่อไปนี้อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดตาที่เกิดจากการระคายเคือง มีดังนี้:

โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง

เยื่อบุตาเป็นส่วนเยื่อเมือกใสที่คลุมตาขาวและมีเยื่อบุด้านในของดวงตา การเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบอาจจะนำมาสู่อาการปวดตาและอาการเคืองตา ดังนั้น อาการนี้จึงเป็นสาเหตุของอาการแพ้และความเจ็บปวดที่ตา ถึงแม้ว่าอาการปวดตามักจะไม่รุนแรง แต่อาการระคายเคืองตาที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจาก การคัน ผื่นแดง และเลือดคั่งในตา โรคเยื่อบุตาอักเสบเรียกกันว่าโรคตาแดง

สิ่งแปลกปลอมในดวงตา

นี่คือสาเหตุหนึ่งของอาการปวดตา เพราะได้มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในดวงตาของคุณ ไม่ว่าจะเป็นขนตา สิ่งสกปรก หรือเครื่องสำอาง การที่มีสิ่งแปลกปลอม ก็เป็นสาเหตุของอาการระคายเคือง ตาแดง น้ำตาไหล และ ปวดตา

การบาดเจ็บทางดวงตา

การเผาไหม้ของสารเคมีและแสงแฟลชที่ตา อาจทำให้เกิดอาการปวดตาอย่างรุนแรง การเผาไหม้เหล่านี้มักเป็นผลมาจากการสัมผัสกับสารระคายเคืองเช่นสารฟอกขาวหรือแหล่งกำเนิดแสงที่รุนแรงเช่น ดวงอาทิตย์ การทำผิวสีแทน หรือวัสดุที่ใช้ในการเชื่อมพวกเหล็ก เป็นต้น

กระจกตาถลอก

กระจกตาคือส่วนที่เป็นเยื่อใสปกคลุมอยู้ด้านหน้าของดวงตาซึ่งมีความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บ กระจกตาถลอกเป็นอาการที่ไม่รุนแรง สาเหตุเกิดมาจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในตา แล้วเกิดการขยี้ตาจนกระจกตาเกิดการถลอก อย่างไรก็ตาม การรักษาที่ง่ายที่สุดคือ การนำเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากตา เช่น ฝุ่น ก็ล้างด้วยน้ำสะอาด หากคุณมีอาการกระจกตาถลอก อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายตาและระคายเคืองตาได้ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้เปลืเผอกตา   

ตากุ้งยิง

 โรคตากุ้งยิง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้เปลือกตา มักจะเกิดบริเวณเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง การอุดตันของต่อมไขมันใต้เปลือกตา เรียกว่า chalazion  โรคตากุ้งยิงจะมีอาการที่เจ็บปวดมาก เพราะว่าบริเวณรอบดวงตานั้นมีความบอบบางและอ่อนโยนต่อประสาทสัมผัสเป็นอย่างมาก แต่ โรคตากุ้งยิงแบบ chalazion นั้นไม่มีอาการเจ็บปวดเท่าไหร่นัก

อาการเปลือกตาอักเสบ

อาการเปลือกตาอักเสบ เกิดจากการที่ต่อมไขมันใกล้ฐานขนตามีอาการอักเสบ สามารถเป็นสาเหตุของอาการปวดตาได้

สาเหตุของการปวดตาข้างเดียวเกิดจากอะไร

อาการปวดตาข้างเดียวที่เกิดจากตัวดวงตาเอง มีดังต่อไปนี้:

โรคต้อหิน

โรคต้อหิน(glaucoma)เกิดจากความดันเลือดในลูกตาหรือความดันภายในตาเพิ่มขึ้น อาการเพิ่มเติมที่เกิดจากโรคต้อหิน ได้แก่ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ และการสูญเสียการมองเห็น ความดันที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน เรียกว่าโรคต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน มีอาการที่รุนแรงและจำเป็นต้องได้รับการรักษาทันทีเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร

โรคไซนัสอักเสบ

โรคไซนัส (Sinus) อักเสบเกิดจาก การติดเชื้อของต่อมไซนัส ซึ่งสามารถเป็นสาเหตุให้ความดันในดวงตาเกิดขึ้น ถ้าเป็นแล้ว จะมีอาการปวดตาข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

ม่านตาอักเสบ

ม่านตาอักเสบอักเสบนั้นเกิดจากการติดเชื้อที่ม่านตา เป็นสาเหตุที่ปวดข้างในลูกตา  ซึ่ง สามารถเป็นสาเหตุอาการปวดตาข้างเดียวได้

ประสาทตาอักเสบ

อาการปวดตาที่มาพร้อมกับการสูญเสียการมองเห็น ถ้าเส้นประสาทตาที่เชื่อมติดกับลูกตา ไปยังสมองที่เราเรียกกันว่า เส้นประสาทตาเกิดการอักเสบ เราจะเรียกโรคนี้ว่า ประสาทตาอักเสบ โรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ เชื้อโรค การระคายเคือง อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดตาข้างเดียวได้เช่นกัน

ไมเกรน

อาการปวดตาข้างเดียวอาจเป็นหนึ่งในผลข้างเคียงของโรคไมเกรน(Migrain)ได้

อาการเจ็บปวดแบบรุนแรง

อาการปวดตาแบบรุนแรง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อถูกวัตถุหรือเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้เกิดอาการปวดตาอย่างรุนแรง

อาการปวดตาแบบที่ควรรีบรักษา

ถ้าคุณเริ่มมีการสูญเสียการมองเห็นที่มากับอาการปวดตา คุณควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที อาการอื่นที่ต้องมีการใช้ยาอย่างเร็ว มีดังต่อไปนี้:
  • ปวดตาอย่างรุนแรง
  • ปวดตาเพราะเกิดจาการบาดเจ็บหรือการสัมผัสสารเคมีหรือแสง
  • มีอาการปวดท้องและอาเจียน(vomit)อย่างรุนแรงที่มากับอาการปวดตาด้วย
  • อาการปวดตาที่ไม่สามารถสัมผัสดวงตา
  • การมองเห็นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

แก้อาการปวดตาอย่างไร

วิธีการแก้อาการปวดตา ขึ้นอยู่กับระดับความเจ็บปวดของตา การแก้อาการปวดตาแบบพื้นฐาน มีดังต่อไปนี้:

การล้างตาด้วยน้ำสะอาด

ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมีเข้ามาในตาของคุณ ล้างตาของคุณด้วยน้ำสะอาด เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาจากตาของคุณ

แว่นตา

ถ้าคุณต้องใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ ให้กระจกตาได้พักผ่อนด้วยการใส่แว่นบ้าง

พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนเป็นวิธีแก้อาการปวดสายตาที่ดีที่สุดในบรรดาวิธีแก้ทั้งหมด เพราะอาการปวดตานั้นต้องการให้คุณนั้นพักสายตาของคุณบ้าง การมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์นานนั้นก็เป็นสาเหตุให้ตาของคุณนั้นอ่อนเพลีย ดังนั้นจักษุแพทย์อาจแนะนำให้คุณพักสายตาสักหนึ่งวันหรือนานกว่านั้นก็ได้

การประคบดวงตาด้วยความอุ่น

คุณหมออาจจะแนะนำผู้ที่เป็นโรคเปลือกตาอักเสบหรือตากุ้งยิง ให้ประคบอุ่นที่ตา มันช่วยให้อาการดังกล่าวคลายความเจ็บปวดลงได้

ยาปฏิชีวนะ

การใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียและยาแก้อักเสบในช่องปากของคุณนั้น อาจจะรักษาอาการติดเชื้อที่ดวงตา รวมถึงโรคตาแดงและประสาทตาอักเสบด้วย

ยาหยอดตา

คนที่เป็นโรคต้อหินอาจจะใช้ยาหยอดตา เพื่อลดระดับความดันในตาที่ก่อตัวขึ้นให้ลดลง

การผ่าตัด

การผ่าตัดดวงตาในบางครั้ง ก็ต้องซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากสิ่งแปลกปลอมหรือการเผาไหม้ แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นการยากที่จะผ่าตัด ผู้ป่วยโรคต้อหินอาจจะรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เพื่อทำท่อระบายนำ้ที่อยู่ในตา เพื่อให้ไหลเวียนสะดวกขึ้น

ยาต้านฮิสทีมิน

ยาหยอดตาและยาหยอดช่องปากก็สามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ที่ดวงตาได้

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ใช้เพื่อรักษาอาการติดเชื้อที่รุนแรงมากกว่านี้ เช่น โรคประสาทตาอักเสบและม่านตาอักเสบ คุณหมออาจจะแนะนำให้คุณใช้ยาตัวนี้ หากว่าคุณมีอาการดังกล่าว

ยาแก้ปวด

ถ้าอาการปวดตาของคุณนั้นมีความรุนแรงขึ้น และกิจวัตรประจำวันของคุณหยุดลงนั้น คุณหมอจะแนะนำให้คุณใช้ยาแก้ปวด จนกว่าจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

ถ้าอาการปวดตาไม่ได้รับการรักษาจะเกิดอะไรขึ้น

อาการปวดตาส่วนใหญ่นั้นจะหายไปเองหรือไม่ค่อยรุนแรงเท่าใดนัก แต่นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ดวงตาได้อย่างถาวร  แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่ทุกกรณีที่จะมีปัญหาเช่นนั้น บางภาวะที่ทำให้ปวดตานั้นอาจกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้นมา หากไม่ได้รับการรักษา ตัวอย่างเช่น การปวดตาและอาการที่เกิดจากโรคต้อหิน ก็เป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดปัญหาดวงตาขึ้นมา หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษา โรคต้อหินก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นจนนำมาสู่การตาบอดได้ การมองเห็นของคุณไม่สามารถพนันได้ หากคุณเริ่มปวดตาที่ไม่ได้มาจากสาเหตุสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ขนตา ไปพบแพทย์เพื่อทำการนัดหมายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเมื่อมีอาการปวดตา

อาการปวดตาอาจเกิดจากหลายปัจจัย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลดวงตาของคุณอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันและบรรเทาความรู้สึกไม่สบาย ต่อไปนี้คือ “สิ่งที่ควรทำ” และ “ไม่ควร” ที่ควรพิจารณาเมื่อมีอาการปวดตา:

สิ่งที่ควรทำ:

  • ไปพบจักษุแพทย์: หากคุณมีอาการปวดตาอย่างต่อเนื่องหรือรุนแรง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จักษุแพทย์สามารถช่วยวินิจฉัยสาเหตุของอาการปวดและให้การรักษาที่เหมาะสมได้
  • พักสายตา: หากปวดตาเพราะปวดตาหรือเมื่อยล้า ให้พักสายตาเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรืออ่านหนังสือเป็นเวลานาน กฎ 20-20-20 มีประโยชน์: ทุก ๆ 20 นาที มองสิ่งที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุตเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที
  • ทำให้ดวงตาของคุณชุ่มชื้น:ใช้ยาหยอดตาหล่อลื่น (น้ำตาเทียม) เพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เวลาอยู่หน้าจอหรือในสภาพแวดล้อมที่แห้งเป็นเวลานาน
  • ล้างมือ:ก่อนสัมผัสดวงตา ควรแน่ใจว่ามือของคุณสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรคและทำให้เกิดการติดเชื้อ
  • ถอดคอนแทคเลนส์:หากคุณใส่คอนแทคเลนส์แล้วรู้สึกปวดตา ให้ถอดออกทันที หากยังปวดอยู่ ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตาของคุณ
  • ปกป้องดวงตาของคุณ:สวมแว่นตานิรภัยหรือแว่นตานิรภัยในระหว่างทำกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของคุณ เช่น กีฬา โครงการ DIY หรือการทำงานกับสารเคมี

สิ่งที่ไม่ควรทำ:

  • ขยี้ตา:หลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะทำให้ระคายเคืองตามากขึ้นและอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
  • ใช้ยาหยอดตาของคนอื่น:โดยทั่วไปแล้วยาหยอดตาจะปรับให้เหมาะกับความต้องการส่วนบุคคล ดังนั้นการใช้ยาหยอดของคนอื่นอาจไม่เหมาะกับดวงตาของคุณ
  • เพิกเฉยต่ออาการปวดตาอย่างต่อเนื่อง:หากอาการปวดตาของคุณยังคงอยู่หรือแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป อย่าเพิกเฉยหรือพยายามวินิจฉัยด้วยตนเอง ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทันที
  • ใช้ยาหยอดตามากเกินไป:แม้ว่ายาหยอดตาหล่อลื่นจะมีประโยชน์ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้มากเกินไป เพราะอาจนำไปสู่การพึ่งพาหรือปิดบังปัญหาพื้นฐาน
  • ให้ดวงตาสัมผัสกับสารระคายเคือง:หลีกเลี่ยงการให้ดวงตาสัมผัสกับควัน ฝุ่น หรือสารระคายเคืองอื่นๆ ที่อาจทำให้อาการปวดแย่ลงหรือนำไปสู่การระคายเคืองและการติดเชื้อได้
  • ความล่าช้าในการไปพบแพทย์:หากคุณมีอาการปวดตาอย่างรุนแรงอย่างกะทันหัน การมองเห็นเปลี่ยนไป หรือได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา อย่าลังเลที่จะไปพบแพทย์ทันที
จำไว้ว่าอาการปวดตาอาจเป็นอาการของภาวะต่างๆ ตามมา เช่น ปวดตา ตาแห้ง ภูมิแพ้ การติดเชื้อ และปัญหาที่รุนแรงกว่านั้น หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับอาการปวดตาของคุณ หรือยังคงมีอยู่แม้ว่าจะมีการป้องกันเบื้องต้นแล้วก็ตาม ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลดวงตาเพื่อรับการประเมินและการรักษาที่เหมาะสม

นี่ลิงค์แหล่งที่มาบทความของเรา

  • https://www.mayoclinic.org/symptoms/eye-pain/basics/causes/sym-20050744
  • https://www.nhs.uk/conditions/uveitis/
  • https://my.clevelandclinic.org/health/symptoms/17796-eye-pain/possible-causes

เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team

แจ้งให้ทราบ
guest
0 ความคิดเห็น
การตอบรับแบบอินไลน์
ดูความคิดเห็นทั้งหมด