โรคลมชัก (Epilepsy) คือ โรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ซึ่งเป็นอาการชักที่เกิดอย่างเรื้อรัง เกิดอาการชักอย่างซ้ำๆ อาการชักเกร็งเกิดจากการสั่งการของสมองที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป
โรคลมชักนั้นมี 2 ประเภท คือ อาการชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง ซึ่งแสดงอาการที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง และอาการชักที่มีผลเฉพาะบางส่วนของสมอง ซึ่งแสดงอาการที่มีผลต่อบางส่วนของสมองเท่านั้น
โรคลมชักที่ไม่รุนแรงอาจไม่แสดงอาการที่เห็นชัด ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 วินาที ในระหว่างที่คุณนั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ
โรคลมชักที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดอาการชักเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก และไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ อาจใช้เวลาไม่นาน หรืออาจจะนานหลายนาที ในบางคนที่เกิดอาการชักที่รุนแรงอาจมีอาการสับสน หรือหมดสติได้ ซึ่งจะทำให้สูญเสียการรับรู้ไปชั่วขณะ
อาการของโรคลมชัก
อาการโรคลมชักนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคลและมีอาการแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดอาการโรคลมชักเกิดเฉพาะส่วน
อาการโรคลมชักเฉพาะส่วน แบบรู้สึกตัว จะมีอาการดังต่อไปนี้:- ความรู้สึกในส่วนต่างๆ ของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น รส กลิ่น การมองเห็น การได้ยิน หรือสัมผัสต่างๆ
- วิงเวียนศีรษะ
- รู้สึกเกร็งบริเวณแขน ขา และมีการกระตุกของกล้ามเนื้อ
- เหม่อลอย
- ไม่ตอบสนองสิ่งเร้ารอบข้าง
- ทำท่าทางเดิมซ้ำๆ
อาการโรคลมชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง
อาการโรคลมชักที่มีผลต่อทุกส่วนของสมอง สามารถเกิดอาการได้ทุกส่วนของสมอง ซึ่งมีอาการที่แสดงให้เห็นถึง 6 ประเภท มีดังนี้: อาการชักแบบเหม่อลอย เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “อาการชักแบบเล็กน้อย” ซึ่งเกิดจากการมองเหม่อลอย อาการชักนี้มีการเคลื่อนไหวอย่างเล็กน้อยที่ซ้ำๆ เช่น การขยับริมฝีปาก หรือการกระพริบตา ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดการสูญเสียการรับรู้ในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น อาการชักแบบอาการชักเกร็ง ซึ่งเกิดจากการกระตุกของกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่เกิดกับบริเวณหลัง แขนและขา อาการชักแบบกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และทำให้เกิดการหกล้มได้ อาการชักแบบชักกระตุก มีลักษณะการเกิดอาการชักซ้ำๆในกล้ามเนื้อที่ผิดปกติ มักเกิดขึ้นกับหน้า คอ และแขน อาการชักแบบชักสะดุ้ง เกิดจากอาการชักที่แขนและขาเกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน อาการชักแบบชักกระตุกและเกร็ง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “อาการชักลมบ้าหมู” ซึ่งมีอาการดังนี้:- ร่างกายแข็งทื่อ
- ตัวสั่น
- สูญเสียการควบคุมของกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้
- กัดลิ้นตัวเอง
- สูญเสียสติ
สาเหตุโรคลมชัก
โรคลมชักเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทส่วนกลางที่เกิดขึ้นได้บ่อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนไปถึง 65 ล้านคน ในทั่วโลก ทุกคนนั้นมีโอกาสเป็นโรคลมชักได้ แต่ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคลมชัก มักจะพบในวัยเด็กและผู้สูงอายุ โดยพบผู้ป่วยโรคลมชักเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โรคลมชักนั้นยังไม่มีวิธีการรักษาที่จำเพาะ แต่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการใช้ยาและวิธีอื่นๆ สาเหตุที่เป็นไปได้สำหรับโรคลมชัก มีดังนี้:- สมองได้รับบาดเจ็บ
- แผลเป็นจากการได้รับบาดเจ็บของสมอง
- มีไข้สูง
- โรคหลอดเลือดในสมอง
- โรคหลอดเลือดชนิดอื่น
- สมองขาดออกซิเจน
- มีเนื้องอกในสมอง
- โรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์
- การใช้ยาของมารดาระหว่างการตั้งครรภ์ หรือการบาดเจ็บในระหว่างที่ตั้งครรภ์ โรคหลอดเลือดสมอง หรือขาดออกซิเจนตั้งแต่กำเนิด
- โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ เช่น โรคเอดส์ และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- ความผิดปกติจากโรคทางพันธุกรรม หรือโรคทางระบบประสาทส่วนกลาง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคลมชัก
บางคนมีอาการโรคลมชักอาจเกิดจากสถานการณ์หรือปัจจัยบางอย่าง ซึ่งมีปัจจัยดังนี้ ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการโรคลมชัก ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุดังนี้:- นอนไม่หลับ
- มีไข้
- ความเครียด
- มีไฟกะพริบ แสงสว่าง รบกวนทัศนวิสัยการมองเห็น
- คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ยาบางชนิดหรือสารเสพติด
- การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การรับประทานอาหารมากเกินไป หรือรับประทานอาหารที่ซ้ำจำเจ
- วันและเวลาที่เกิดอาการ
- กิจกรรมที่คุณทำมีอะไรบ้าง
- เกิดอะไรขึ้นรอบตัวคุณ
- รู้สึกถึงอาการผิดปกติของการมองเห็น กลิ่น ได้ยิน
- ความดันผิดปกติหรือไม่
- รับประทานอะไรมาก่อนหน้านี้
- มีระดับความเหนื่อยล้า และคุณภาพการนอน
แนวทางการรักษาโรคลมชัก
อาการโรคลมชักนั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งแนวทางการรักษาโรคลมชักนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ สุขภาพ และการตอบสนองต่อการรักษา แนวทางการรักษาโรคลมชักนั้น มีดังนี้:- ยาต้านอาการชัก(ยากันชัก ยาต้านจุลชีพ): ยาเหล่านี้แก้อาการโรคลมชัก ถ้าผู้ป่วยนั้นอยากให้อาการชักนั้นหายขาด ต้องใช้จำนวนยาตามที่แพทย์สั่ง
- การกระตุ้นเส้นประสาท: โดยใช้อุปกรณ์นี้วางไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอกและใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นไปยังคอของคุณ เพื่อรักษาและป้องกันอาการโรคลมชักได้
- การรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิก: ประชากรจำนวนมากกว่าครึ่งที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ
- การผ่าตัดสมอง: การผ่าตัดสมองที่เกิดอาการชักกระตุก สามารถทำได้โดยนำส่วนของสมองที่มีปัญหาออกมา
อาหารมีผลต่อโรคลมชักอย่างไร
แม้ว่าจะมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่แสดงว่าอาหารของคุณมีผลโดยตรงต่ออาการชัก แต่การรับประทานอาหารที่สมดุลจะให้สารอาหารที่จำเป็นและรักษาระดับพลังงานของเราให้คงที่ ซึ่งช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี สิ่งนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการชักในบางคนที่เป็นโรคลมบ้าหมู การรับประทานอาหารที่สมดุลอาจช่วยให้คุณมีรูปแบบการนอนหลับที่สม่ำเสมอและตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ดีต่อสุขภาพโดยรวม การนอนหลับให้เพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงของอาการชักสำหรับบางคน การรับประทานอาหารที่เหมาะกับคุณอาจช่วยให้คุณรู้สึกดี มีสมาธิมากขึ้น ควบคุมชีวิตและตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการโรคลมชักได้มากขึ้นอาหารที่สมดุลคืออะไร
อาหารที่สมดุลโดยทั่วไปประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน ผักและผลไม้ และดื่มน้ำมากๆ การวิจัยยังคงดำเนินต่อไปถึงสิ่งที่ทำให้อาหารดีต่อสุขภาพ:- กินผักและผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนทุกวัน
- อาหารหลักคือมันฝรั่ง ขนมปัง ข้าว พาสต้า หรือคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งอื่นๆ
- กินถั่ว ถั่วพัลส์ ปลา (รวมทั้งปลาที่มีน้ำมันหนึ่งส่วนต่อสัปดาห์) ไข่ เนื้อสัตว์ และอาหารโปรตีนอื่นๆ
- มีทางเลือกอื่นที่ทำจากนมหรือนม (เช่น เครื่องดื่มถั่วเหลืองหรือโยเกิร์ต)
- เลือกน้ำมันและสเปรดที่ไม่อิ่มตัว และรับประทานในปริมาณน้อย
- กินอาหารที่มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลสูงให้น้อยลงและในปริมาณที่น้อย และ
- ดื่มน้ำมาก ๆ – รัฐบาลแนะนำให้ 6 ถึง 8 แก้วต่อวัน
อาหารเสริมวิตามินและแร่ธาตุ
วิตามินและแร่ธาตุเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อยเพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและมีสุขภาพที่ดี สำหรับคนส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และหลากหลายจะให้วิตามินและแร่ธาตุส่วนใหญ่ที่พวกเขาต้องการ และการรับประทานอาหารเสริมที่ไม่จำเป็นอาจเป็นอันตรายได้ อย่างไรก็ตาม คำแนะนำของรัฐบาลคือเด็กอายุมากกว่าสี่ปีและผู้ใหญ่ (รวมถึงสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร) ควรพิจารณาการ เสริม วิตามินดี ทุกวัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว วิตามินดีช่วยควบคุมปริมาณแคลเซียมและฟอสเฟตในร่างกายและช่วยระบบภูมิคุ้มกัน สารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อการทำให้กระดูก ฟัน และกล้ามเนื้อแข็งแรง แสงแดดเป็นแหล่งหลักของวิตามินดี และคนส่วนใหญ่ควรได้รับวิตามินดีทั้งหมดที่ต้องการจากแสงแดดจนถึงประมาณปลายเดือนมีนาคม/ต้นเดือนเมษายน วิตามินดียังพบได้ในอาหารจำนวนเล็กน้อย เช่น ไข่แดง เนื้อแดง ตับ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปลาเฮอริ่ง และปลาแมกเคอเรล และอาหารเสริม เช่น ซีเรียลอาหารเช้าบางชนิดและสเปรดไขมันบางชนิด ยาต้านอาการชัก (ASM) บางชนิดสามารถลดความหนาแน่นของกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนแอลงและมีแนวโน้มที่จะแตกหักได้ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการสแกนความหนาแน่นของกระดูกและสั่งวิตามินดี คุณสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคกระดูกพรุน จากแพทย์ ได้นี่คือแหล่งที่มาของบทความของเรา
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/epilepsy/symptoms-causes/syc-20350093
- https://www.nhs.uk/conditions/epilepsy/
- https://www.webmd.com/epilepsy/default.htm
เนื้อหาและรีวิวมาจากผู้เชี่ยวชาญ โดย Bupa team
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
0 ความคิดเห็น